ปตท. ผ่านบททดสอบความท้าทาย พร้อมเดินหน้ารับมือเศรษฐกิจโลกผันผวนปี 2569

48
- Advertisment-
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. คาดราคาน้ำมันดิบปี 2569 อยู่ในกรอบ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนทิศทางธุรกิจเติบโตใกล้เคียงกับปี 2568 ขณะที่กำไรธุรกิจการกลั่น-ปิโตรเคมี ทรงตัว เตรียมแผนยกระดับผลการดำเนินงาน (EBITDA Uplift) รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน พร้อมเร่งหาพันธมิตรเสริมแกร่งกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี-โรงกลั่น ดันเพิ่มกระแสเงินสดอีก 1 แสนล้านบาทในปี 2569  

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า คาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2569 จะทรงตัวอยู่ในระดับ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากซัพพลายยังมีปริมาณสูงทั้งจากการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC Plus ขณะที่สหรัฐฯ มีนโยบายที่ไม่ได้ต้องการให้ราคาน้ำมันแพงเกินไป ซึ่ง ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ได้เติบโตมากนัก ทำให้ดีมานด์และซัพพลายน้ำมันดิบอยู่ในระดับไม่สูงเกินไป แต่ก็ต้องติดตามความไม่แน่นอนทั้งสงครามการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคตด้วย

ส่วนมาร์จิ้นการกลั่น คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัวจากปีนี้ แต่ก็มีบางตัวที่น่าสนใจอย่างกลุ่มแก๊สโซลีนที่จะดีในบางซีซั่น ขณะที่ปิโตรเคมี มาร์จิ้นบางตัวก็อาจจะไม่เพิ่มขึ้นเพราะยังมีปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย แต่ราคาไม่น่าจะแย่ไปกว่านี้ภาพรวมอาจจะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามปัจจัยภายนอกที่ยังดูผันผวนนั้น ทำให้ ปตท.ต้องกลับมาเพิ่มความแข็งแกร่งจากภายใน โดยยังคงเดินหน้ายกระดับผลการดำเนินงาน (EBITDA Uplift) ผ่านโครงการต่างๆที่ ปตท.ดำเนินการ เช่น P1, D1, A1 และ Mission X ว่าจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรได้ ทำให้สร้างกำไรและพัฒนาธุรกิจเพื่ออนาคตต่อไป รวมถึง ปตท. ได้ดำเนินการควบคุมใช้จ่ายและบริหารหนี้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย

- Advertisment -

ส่วนความคืบหน้าภายใต้แผนการปรับสัดส่วนการลงทุนของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น (P&R) อยู่ระหว่างหาพันธมิตรให้กับบริษัทลูกกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC คาดว่าจะดำเนินธุรกรรมเสร็จสิ้นในปี 2569 โดย ปตท. ยังยึดหลักการที่ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัทเรือธง (Flagships) และแสวงหาหุ้นส่วนทางธุรกิจในระยะยาวที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้

“การเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทเรือธง (Flagship) รองรับบริบททางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ปตท. ตั้งเป้าที่จะสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในระดับที่แข็งแกร่งจำนวน 413,718 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนและสภาพคล่องในระยะยาว ขณะเดียวกันด้วยกระแสเงินสดที่มีอยู่ ทำให้ ปตท.มองหาโอกาสที่จะไปลงทุนในกิจการที่เพิ่มความสามารถในการทำกำไรหรือผลตอบแทนได้ทันที”

นอกจากนี้ ปตท.ยังเล็งเห็นถึงโอกาสความต้องการใช้ก๊าซ LNG ที่จะเติบโตขึ้นในอนาคต ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน โดยตั้งเป้าหมายจะเพิ่มพอร์ต LNG สำหรับธุรกิจเทรดดิ้ง อยู่ที่ 10 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 และเพิ่มเป็น 15 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2578

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2568 โดย ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 19,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,460 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยหลักเป็นผลจากการทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและมาตรการลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งการรับรู้กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต

ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 64,632 ล้านบาท ลดลง 16,129 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำมันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการเชิงรุก อาทิ EBITDA Uplift,  Asset Monetization, การควบคุมค่าใช้จ่ายและการบริหารหนี้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลุ่ม ปตท. สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายในทุกมิติ สร้าง Profit Enhancement รวมกว่า 15,000 ล้านบาท เปรียบเสมือนการผ่านบททดสอบท่ามกลางความท้าทาย ตอกย้ำการเดินกลยุทธ์ที่แม่นยำภายใต้การประเมินสถานการณ์ที่ละเอียด รอบคอบ และวิสัยทัศน์ที่ถูกทาง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นสวนกระแสเศรษฐกิจที่ถดถอย สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.90 บาทต่อหุ้น

ภารกิจสำคัญของ ปตท. คือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย นั่นหมายถึงการมีพลังงานที่เพียงพอ ภายใต้กลไกราคาที่เหมาะสมแข่งขันได้ และมีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจเหล่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปตท. จึงมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความถนัด ภายใต้กลยุทธ์เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก ปตท. สามารถผลักดันผลสำเร็จเพิ่มเติมตามแผน กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ พร้อมลงทุนในโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติหลักที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ของไทย และร่วมลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท ในทวีปแอฟริกา อีกทั้งอยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่ 2

ขณะที่ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ สามารถทำการค้าและการลงทุน LNG ใน 9 เดือนแรก ปี 2568 ได้กว่า 2.2 ล้านตัน และอยู่ระหว่างลงนามสัญญา LNG ระยะยาว 1.6 ล้านตัน ในขณะที่การปรับพอร์ตกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ระหว่างการหารือกับ potential strategic partners ซึ่งมีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผน

สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon ได้ลดบทบาทธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยปรับพอร์ตการลงทุนในธุรกิจ EV Value Chain ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) ขายหุ้นบริษัท Contemporary Amperex Technology Co., Ltd (CATL) รวมถึงจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (NMA) ตามกลยุทธ์ Smart Exit ส่งผลให้มีเงินสดกลับคืนสู่ ปตท. ในส่วนของธุรกิจ Life Science บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INBA) ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) เพื่อสนับสนุนให้ Lotus มีความคล่องตัวในการขยายตลาดยาในสหรัฐอเมริกา ผ่านการลงทุนในบริษัท New Alvogen Group Holdings Inc. (Alvogen US) ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self – Funding)

ด้านการขับเคลื่อนความยั่งยืน  ปตท. ยังคงมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 15% ในปี 2035 โดยดำเนินการอย่างสมดุลในทุกมิติ ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อกำหนดแนวทางส่งเสริมและผลักดันเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ให้เกิดการใช้งานจริงในไทย พร้อมทั้งศึกษาและนำเสนอความเป็นไปได้ของการใช้ Hydrogen และ Ammonia Co-firing เป็นพลังงานทางเลือกในประเทศ ทั้งนี้ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทยจะเริ่มดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2571 โดยสามารถกักเก็บได้สูงสุดประมาณ 1 ล้านตันต่อปี โครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบสำคัญสำหรับการพัฒนา CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย รวมถึงการพัฒนา CCS Hub ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในอนาคต

ภายใต้ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ปตท. ได้เร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ผ่านโครงการสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลการดำเนินงาน (EBITDA Uplift) และสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดย 9 เดือน มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่

1. การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ P1 และ D1 สร้างผลประโยชน์รวมทั้ง 2 โครงการประมาณ 3,634 ล้านบาท

2. MissionX ยกระดับการทำ Operational Excellence ปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ โดยวางเป้าเพิ่ม EBITDA ทั้งกลุ่ม ปตท. ปีนี้รวม 10,000 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปีนี้มีมูลค่าประมาณ 8,332 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2570

3. ขับเคลื่อน Digital Transformation (AXIS) โดยผลักดันการนำ Digital Tools/AI มาใช้ในองค์กรเพื่อสร้างประสิทธิภาพในด้านต่างๆ และให้เกิดการพัฒนา Use Cases สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนา Infrastructure โดยต้องมีการ Upskill และ Reskill พนักงานอย่างเหมาะสม วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 200 ล้านบาท มีผลการดำเนินงาน 9 เดือนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 155 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,000 ล้านบาท ภายในปี 2572

4. Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. โดยสร้าง Synergy ผ่านการ Optimize Asset & Capital และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่ง A1 จะเพิ่มผลการดำเนินงานและมีความมั่นคงในระยะยาว โดยรวมศูนย์การบริหารสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ของกลุ่ม ให้บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship เพื่อซื้อและเช่าทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานจาก GC และ TOP เช่น ท่าเทียบเรือ ถังเก็บผลิตภัณฑ์ ระบบขนถ่าย ถังเก็บน้ำมันดิบ ทุ่นผูกเรือกลางทะเล สถานีจ่ายน้ำมันทางรถ และธุรกิจบริการรับ จัดเก็บและขนถ่ายสินค้าเหลว ฯลฯ และนำทรัพย์สินดังกล่าวมาบริหารให้เกิดรายได้และผลตอบแทนต่อบริษัทในกลุ่ม เกิด Synergy อย่างเป็นรูปธรรมในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้ฐานะการเงินของ TOP และ GC แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

5. Financial Excellence (F1) บริหารการเงินที่ตอบโจทย์ธุรกิจและเพิ่มมูลค่าองค์กร เช่น ขยายเครดิตเทอมค่าวัตถุดิบให้บริษัทในกลุ่ม และการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน

Advertisment