กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยอดเงินติดลบลดลงเหลือ -19,161 ล้านบาท เป็นผลจากบัญชีย่อยน้ำมันมีรายรับเข้ามาถึง 23,265 ล้านบาท แต่บัญชีย่อย LPG ยังคงติดลบสูงถึง -42,426 ล้านบาท ขยับคาดการณ์กองทุนฯ พลิกเป็นบวกได้ช่วงเดือน ธ.ค. 2568 ถึงเดือน ม.ค. 2569 เหตุมีเงินไหลเข้ารายวันเหลือ 208 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่มาตรการตรึงราคา LPG จะสิ้นสุด 30 ก.ย. 2568 ลุ้นรัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ประเดิมงานแรกประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาแก้ปัญหาราคา LPG ในประเทศได้ทันกำหนด
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานสถานการณ์เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรายสัปดาห์ว่า ปัจจุบัน “บัญชีน้ำมัน” ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด (21 ก.ย. 2568) มีรายรับอยู่ที่ 23,265 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ ที่ติดลบรวม -19,161 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากในส่วนของบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ยังคงชดเชยราคาจำหน่ายปลีก LPG อัตรา 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ส่งผลให้ภาพรวมบัญชี LPG ติดลบรวม -42,426 ล้านบาท ซึ่งฉุดให้ภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ ยังไม่สามารถกลับมาเป็นบวกได้
อย่างไรก็ตามมาตรการชดเชยราคา LPG ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 2568 นี้ ดังนั้นคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานโดยตำแหน่ง จะต้องเปิดประชุมภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาราคาจำหน่าย LPG ว่าจะตรึงราคาต่อ หรือจะปัดฝุ่นนำแนวทางทยอยปรับขึ้นราคา LPG มาใช้เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันฯ ลง
ทั้งนี้ตามกำหนดการรัฐบาลชุดใหม่จะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ ในวันที่ 24 ก.ย. 2568 และมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก หรือ ครม.อนุทิน 1 ในวันเดียวกันหลังจากถวายสัตย์ฯ เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคาดว่างานแรกที่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คนใหม่ จะต้องเริ่มดำเนินการคือการเปิดประชุม กบง. พิจารณาราคา LPG ให้ทันก่อนสิ้นสุดมาตรการตรึงราคา 30 ก.ย. 2568 นี้
สำหรับเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด 208.38 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 6,251 ล้านบาทต่อเดือน) แบ่งเป็นรายรับจากผู้ใช้น้ำมันทุกชนิด 179.35 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 5,380 ล้านบาทต่อเดือน) และรายรับจาก LPG 29.03 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 870 ล้านบาทต่อเดือน)
ดังนั้นภาพรวมกองทุนฯ ที่ยังติดลบอยู่รวม -19,161 ล้านบาท อาจต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน จึงจะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ หากรายรับยังคงอยู่ในระดับ 6,000 กว่าล้านบาทต่อเดือน ซึ่งกองทุนฯ อาจเป็นบวกได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 2568 – เดือน ม.ค. 2569 นี้
สำหรับผู้ใช้น้ำมันต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามประกาศของ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ล่าสุด (9 ก.ย. 2568) ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ถูกเรียกเก็บ 3 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 1.90 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 3.60 บาทต่อลิตร และเบนซินธรรมดา ออกเทน 95 เรียกเก็บ 9.60 บาทต่อลิตร ส่วนผู้ใช้ดีเซล และดีเซล B20 ถูกเรียกเก็บ 1.40 บาทต่อลิตร และผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียม ถูกเรียกเก็บ 2.90 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตามกองทุนฯ ยังคงมีภาระหนี้สำคัญที่ได้กู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงินฯ ไว้รวม 105,333 ล้านบาท ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันเหลือหนี้อยู่ 52,360 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยจ่ายเงินต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกรอบเวลาที่กู้มาแต่ละครั้ง โดยในเดือน ต.ค. 2568 นี้จะต้องจ่ายหนี้เงินต้นสูงสุดประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นก็จะทยอยลดลง และในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 250 ล้านบาทต่อเดือนด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดตามกำหนดในปี 2572
สำหรับราคาน้ำมันตลาดโลกล่าสุด ณ วันที่ 22 ก.ย. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 70.23 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาลดลง 0.28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 63.01 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.33 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 67.11 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.43 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ด้านค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 22 ก.ย. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 3.87 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.50 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.55 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.55 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 4.12 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.87 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่างวันที่ 1-22 ก.ย. 2568 อยู่ที่ 2.47 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)