กรมเชื้อเพลิง​ฯแจงแก้ปัญหาก๊าซแหล่งเอราวัณ​ผลิตต่ำกว่าเป้า​ ​ยันไม่กระทบต้นทุนค่าไฟ

- Advertisment-

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติชี้แจงการผลิตก๊าซจากแหล่งเอราวัณ​( G1/61) ได้ไม่ถึง​ 600​ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน​ ในวันที่​ 1​ ธันวาคม​ ​2566​ ตามเป้าหมายจะไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ​ เนื่องจากได้มีการแก้ไขปัญหา​ โดยให้ ​ปตท.สผ.​เพิ่มกำลังการผลิตจากแหล่งบงกชและ​แหล่งอาทิตย์​ มาชดเชย​ในปริมาณ​รวม​ 160​ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน​ รวมทั้งการเลื่อนแผนซ่อมบำรุงของแหล่งยาดานา​ ในเมียนมา​ออกไป​ โดยระบุ​ 1​ เมษายน​ 2567​ กำลังการผลิตของ ​G1/61 จะต้องเพิ่มขึ้นเป็น​ 800​ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน​ มิเช่นนั้น​ ​ ปตท.สผ.อีดี​ ที่เป็นผู้รับสัญญาภายใต้ระบบแบ่งปันผลผลิต​จะต้องจ่ายค่าปรับจากการผิดสัญญา

ดร.ศุภลักษณ์ พาฬอนุรักษ์ รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ​ เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่​ 11​ กันยายน​ 2566​ ว่า​ การผลิตก๊าซธรรมชาติจาก​ แหล่ง​G1/61 ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต​ โดยที่มีบริษัท​ ปตท.สผ.อีดี​ เป็นผู้รับสัญญา​ ไม่สามารถที่จะเพิ่มการผลิต​จาก​ 400​ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน​ ณ​ วันที่​ 1​ กรกฎาคม​ เป็น​ 600​ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน​ ในวันที่​1​ ธันวาคม​ 2566​ ได้ตามแผนที่กำหนด​ เนื่องจากมีการตรวจพบว่าเครนของเรือ​ K1 ซึ่งเป็นเรือที่ใช้ติดตั้งแท่นหลุมผลิต​เกิดความเสียหาย​ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติงาน​ จึงจำเป็นต้องมีการจัดหาเรือลำใหม่มาเปลี่ยน​ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการติดตั้งแท่นหลุมผลิต​โดยเรือลำใหม่แล้ว​ แต่กรณีดังกล่าวทำให้​ งานมีความล่าช้าไปจากแผนเดิมที่วางไว้ประมาณ​ 2​ เดือน​และกระทบต่อการเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซ​ ที่ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าปริมาณการผลิตก๊าซให้ได้ถึง​ 600​ ล้านลูกบาศก์​ฟุตต่อวัน​ จะทำได้ในเดือนใด​ อย่างไรก็ตาม​ ปตท.สผ.อีดี​ มีปริมาณตามสัญญาที่ตกลงไว้กับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ​ว่า​ ในวันที่​ 1 ​เมษายน​ 2567​ จะต้องเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซจากแหล่ง​ G1/61 ให้ได้​ 800​ ล้านลูกบาศก์​ฟุตต่อวัน​ โดยจะต้องยืนระดับการผลิตในระดับดังกล่าวให้ต่อเนื่อง​ 90​ วัน​ แต่หากไม่สามารถดำเนินการได้​ ก็จะต้องถูกปรับตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา

ดร.ศุภลักษณ์​ กล่าวว่า​ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้มีการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาการผลิตก๊าซธรรมชาติจาก​ G1/61​ ที่ไม่ได้ปริมาณตามกำหนด​แล้ว​ โดยก๊าซธรรมชาติส่วนที่ขาดไปประมาณ​ 200​ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน​ ทางปตท.สผ.​จะเพิ่มการผลิตจากแหล่งบงกช​เข้ามาทดแทน​ประมาณ​ 100​ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน​ และจากแหล่งอาทิตย์อีกประมาณ​ 60​ ล้านลูกบาศก์​ฟุตต่อวัน​ รวมเป็น​ 160​ ล้านลูกบาศก์​ฟุตต่อวัน​ นอกจากนี้​ยังมีการเจรจากับทางมาเลเซีย​ เพื่อที่จะขอรับก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเจดีเอ ในช่วงที่โรงแยกก๊าซของมาเลเซียหยุดซ่อมบำรุง​ รวมทั้ง​การที่โอเปอเรเตอร์ของแหล่งยาดานา​จะเลื่อนแผนการหยุดซ่อมบำรุงออกไปก่อน​ ซึ่งจะทำให้มีก๊าซธรรมชาติ​ ไหลเข้ามาเติมในระบบปริมาณ​21-51​ ​ล้านลูกบาศก์​ฟุตต่อวัน​ ซึ่งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้า​ เพราะอาจไม่ต้องนำเข้า​LNG​ ที่มีราคาแพงกว่ามาเพื่อทดแทนก๊าซจากแหล่งเอราวัณที่ผลิตไม่ได้ปริมาณ​ตามเป้าหมาย​

- Advertisment -
ดร.ศุภลักษณ์ พาฬอนุรักษ์ รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระหว่างการแถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชน

“ก๊าซในอ่าวไทยจากแหล่งเอราวัณที่การผลิตไม่เป็นไปตามแผน​ ถูกบริหารจัดการให้มีการผลิตเพิ่มจากแหล่งอื่นเข้ามาทดแทนในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน​ จึงเชื่อว่า​ จากกรณีดังกล่าว​ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างมีนัยสำคัญ​ ” ดร.​ศุภลักษณ์​ กล่าว

ทั้งนี้การผลิตก๊าซจากแหล่งเอราวัณ​มีการลดระดับการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง​นับตั้งแต่​เดือน​มกราคม​2563​ ที่อยู่ระดับ​ 1200-1300​ ล้านลูกบาศก์​ฟุตต่อวัน​ จนถึงระดับ​375 ล้านลูกบาศ์กฟุตต่อวัน​ เนื่องจากผู้รับสัมปทานรายเดิมแพ้ประมูล​ จึงหยุดลงทุนการเจาะหลุมผลิต​เพื่อรักษาระดับการผลิตเอาไว้​ ในขณะที่ผู้รับสัญญาใหม่​ ภายใต้ระบบแบ่งปันผลผลิต​ ไม่สามารถที่จะเข้าพื้นที่​ เพื่อลงทุนเจาะหลุมผลิตล่วงหน้าได้ตามแผนที่วางไว้​ ซึ่งหลังจากวันเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานมาเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต​ ในวันที่​ 24​ เมษายน​ 2565​ การผลิตก๊าซก็ลดลงจาก​ 375​ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน​เหลือ​ 210 ล้านลูกบาศก์​ฟุตต่อวัน​ ทำให้​ ปตท.สผ.อีดี​ ต้องระดมการลงทุนติดตั้งแท่นหลุมผลิตแล้วเสร็จ​ 8​ แท่น​ แท่นขุดเจาะ​(RIG)​6 แท่น​ และเจาะหลุมผลิตแล้วเสร็จ​ 218 หลุม​ซึ่งทำให้เพิ่มการผลิตก๊าซกลับมาอยู่ที่​ 400​ ล้านลูกบาศก์​ฟุตต่อวัน​ ในวันที่​ 1 ​กรกฎาคม​ 2566​ ก่อนที่ในเดือน​เดียวกัน​จะตรวจพบปัญหาเครนของเรือ​ K1​ซึ่งเป็นเรือที่ใช้ติดตั้งแท่นหลุมผลิตได้รับความเสียหายและทำให้งานติดตั้งแท่นมีความล่าช้าไป​จากแผนประมาณ​ 2 ​เดือน

Advertisment

- Advertisment -.