SENSE ในคำภาษาอังกฤษ โดยทั่วไป อาจจะหมายถึง ความรู้สึก หรือความสำนึก แต่ สำหรับ SENSE “นรินทร์ เผ่าวณิช” ผู้ว่าการกฟการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนที่ 17 นั้น มีนัยยะของแนวทางในการบริหารจัดการองค์กรรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าอันดับหนึ่งของประเทศ คือ กฟผ. ที่เขาต้องรับบทบาทเป็นผู้นำ ในช่วงวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
ผู้ว่าการกฟผ.วัย 51 ปี ซึ่งคนทั่วไปได้เจอผ่านๆอาจจะดูเป็นคนเคร่งขรึม ยิ้มยาก แต่คนที่รู้จักนิสัยใจคอแท้จริงจะบอกว่าเป็นคนทำงานเก่งที่ยิ้มจริงใจ มีมุกตลก บอกอธิบายกับสื่อมวลชนที่มาร่วมทำข่าว บนชั้น 18 อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 สถานที่จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว อย่างเป็นทางการ หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ถึงที่มาของคำว่า SENSE ว่า เป็นรวมเอานโยบาย 3 ด้าน ของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแล ผนวกเข้ากับภารกิจสำคัญ 2 เสาหลักที่ กฟผ.ให้ความสำคัญ และถอดเอาอักษรภาษาอังกฤษตัวแรก ของแต่ละคำ มารวมเข้าด้วยกัน โดย S ตัวแรก มาจากคำว่า Sefety operation คือ มาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้น E มาจาก Energy security ความมั่นคงไฟฟ้า N มาจากคำว่า Naturality พลังงานสีเขียว คาร์บอนต่ำ ส่วน S อีกตัว มาจากคำว่า Social responsibility ความยั่งยืนของสังคมและชุมชน และ E อีกตัว มาจากคำว่า Energy affordability ราคาพลังงานที่เข้าถึงได้

โดยผู้ว่าการ นรินทร์ มองว่า กฟผ.เป็นองค์กรที่ต้องเผชิญกับแรงกระแทกที่มาจาก ปัจจัยภายนอก 5 ประการ ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรได้แก่ ปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การมีส่วนร่วมของประชาชนที่มากขึ้น ปัจจัยจากสงครามการค้า หรือ Trade war ปัจจัยจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กระทบต่อราคาพลังงาน และ ปัจจัยที่เกิดจากเทคโนโลยี ดิสรัปชั่น การเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ดังนั้น เขาจึง มองหาคำที่มีความหมายที่จะใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการองค์กร กฟผ. เพื่อรับมือกับ ปัจจัยทั้ง 5 ประการดังกล่าว ซึ่งก็คือ S-E-N-S-E
เขา อธิบายเพิ่มเติมให้สื่อมวลชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน stakeholders ที่สำคัญของ กฟผ.ว่า ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั้นทำให้ทิศทางพลังงานโลก มีความต้องการพลังงานหมุนเวียนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยต้องขยับเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้นจากปี ค.ศ.2065 เป็นปี ค.ศ. 2050 หรือเร็วขึ้น 15 ปี เช่นเดียวกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม เพราะหากไทยไม่ปรับตัว จะทำให้ต้องสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน ในขณะที่ กฟผ.ซึ่งมีบทบาทที่ต้องดูแลความมั่นคงไฟฟ้าของประเทศ และก็ต้องทำให้เกิดสมดุลทั้ง3 ด้าน คือพลังงานมั่นคง พลังงานยั่งยืน พลังงานเป็นธรรม จึงต้องมีการลงทุนการผลิตไฟฟ้าที่มาจากพลังงานสะอาดเพิ่มเติม และสอดรับกับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล คือการเร่งผลักดันโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อนของ กฟผ. ที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี รวมกำลังผลิต 1,638 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ กฟผ. ยังได้มองหาพลังงานคาร์บอนต่ำใหม่ที่ยั่งยืน อาทิ การนำไฮโดรเจนมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าร่วมกับก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนร้อยละ 5 โดย กฟผ. ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงระบบเชื้อเพลิงผสมไฮโดรเจนของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม กฟผ. รวมทั้งสิ้น 6 โรงไฟฟ้า ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าน้ำพอง และโรงไฟฟ้าจะนะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรายงานผลการศึกษาข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าต่อคณะกรรมการ กฟผ. ศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียบนพื้นที่ศักยภาพ กฟผ. เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงผลักดันโรงไฟฟ้า SMR ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เป็นพลังงานสะอาด และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ สอดรับกับความต้องการของนักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์
และเพื่อรับมือกับพลังงานหมุนเวียนซึงมีความผันผวน ที่เพิ่มเข้ามาในระบบมากขึ้นกฟผ. ยังเร่งพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นระบบไฟฟ้า รวมทั้งโครงการที่จะเป็นแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ให้กับประเทศ ที่จะเป็นโครงการลงทุนใหม่ คือโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ 3 โครงการที่ใช้ศักยภาพด้านภูมิศาสตร์ ได้แก่ เขื่อนวชิราลงกรณ ขนาด 900 เมกะวัตต์ เขื่อนจุฬาภรณ์ ขนาด 780 เมกะวัตต์ และเขื่อนกะทูน ขนาด 780 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถจ่ายไฟเข้าระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงที่พลังงานหมุนเวียนขาดหายไปจากระบบ
การพัฒนาศูนย์การพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast Center) ผสานข้อมูลพยากรณ์ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์ รวมถึงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรองรับพลังงานทดแทน การเชื่อมโยงกับโรงไฟฟ้าเอกชน และการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กฟผ. และช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าให้ต่ำลง ด้วยการเดินหน้าจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ราคาถูกด้วยสัญญาระยะยาว 10-15 ปี ที่จะเริ่มเปิดให้เอกชนมีการยื่นข้อเสนอในช่วงต้นปีหน้า นอกจากนี้ ยังพร้อมยืดอายุโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำ อาทิ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงไฟฟ้าน้ำพอง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดต่ำลงและแข่งขันได้ รวมทั้งการแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจ LNG ซึ่งล่าสุดบริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง กฟผ. กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ Topside สูบถ่าย LNG จากเรือขนส่งเข้าสู่สถานี LNG ณ ท่าเทียบเรือที่ 2 ของสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด แห่งที่ 2 จ.ระยอง เพื่อให้สถานีสามารถรักษาความต่อเนื่องของการรับเรือและจ่ายก๊าซธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมความมั่นคงของระบบพลังงานของประเทศในระยะยาวอีกด้วย
ในการบริหารจัดการองค์กร เพื่อให้ กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพ ผู้ว่าการนรินทร์ จะนำเทคโนโลยีอัจฉริยะ (AI) เข้ามาช่วยในการทำงานของบุคคลากร ในงานต่างๆมากขึ้น โดยการทำงานจะยึดหลักธรรมภิบาล โปร่งใส และตรวจสอบได้ ด้วยการนำดัชนีความยั่งยืนบางตัวของดาวโจนส์ มาประยุกต์ใช้กับองค์กร พร้อมทั้งสนับสนุนบุคลากรให้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กรอบการบริหารองค์กรอย่างยั่งยืน หรือ GRC (Governance – Risk Management – Compliance) โดย กฟผ. ถือเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกของประเทศไทยที่ออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (SLB) วงเงิน 2,000 ล้านบาท เป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินเชื่อมโยงกับการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่จะลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย ในอัตราขั้นต่ำร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2571 ถือเป็นการตอกย้ำบทบาทของ กฟผ. ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศสู่ Net Zero
ส่วนการดูแลสังคม ชุมชน กฟผ. ยังคงเดินหน้าสร้างการยอมรับและความร่วมมือกับพันธมิตรทุกระดับ มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าในการพัฒนาธุรกิจใหม่ร่วมกับชุมชนด้วยการยกระดับจาก CSR สู่ CSV เติบโตด้วยกันอย่างยั่งยืน

” ผมมีความหวังอยากจะให้ กฟผ.ไม่เป็นเพียง “ผู้ผลิตฟ้าเพื่อความมั่นคง” แต่จะเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยด้วยพลังงานสะอาด เทคโนโลยีอัจฉริยะ และการบริหารแบบมืออาชีพ” เพื่ออนาคตที่มั่นคง ยั่งยืนของประเทศ และคนไทยทุกคน“ ผู้ว่าการ กฟผ.คนที่ 17 กล่าวทิ้งท้าย













































