รัฐมนตรีพลังงาน “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ลงพื้นที่เพื่อสำรวจและติดตามความเป็นไปได้ ในการดำเนินการโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตรกรรม ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ในพื้นที่ตำบลหินลาด อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก มั่นใจช่วยลดรายจ่ายค่าพลังงานและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรจากผลผลิตต่อไร่ที่เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้านำร่องช่วงแรก 50 ระบบ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569
เมื่อเร็วๆนี้ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ลงพื้นที่เพื่อสำรวจและติดตามความเป็นไปได้ ในการดำเนินการโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตรกรรม ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงาน ในพื้นที่บึงบ้านโนน ตำบลหินลาด อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก โดยมีตัวแทนส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ ซึ่งนายอรรถพล ได้ให้ความมั่นใจว่า โครงการที่กระทรวงพลังงานจะดำเนินการเป็นโครงการที่ช่วยลดรายจ่ายด้านพลังงานและช่วยเพิ่มผลผลิตของเกษตรกรให้มากขึ้น
ทั้งนี้บึงบ้านโนน มีขนาดพื้นที่สระ 51 ไร่ และพื้นที่รับน้ำ 1.5 ตารางกิโลเมตร ความจุแหล่งน้ำ 0.3 ล้านลูกบาศก์เมตร อยู่ใกล้พื้นที่เพาะปลูกข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และสวนไม้ผลยืนต้น ซึ่งทาง กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตรกรรม เอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ และเห็นว่าควรจะต้องมีการติดตั้งสถานีสูบน้ำบนทุ่นลอยน้ำ ขนาด 91 แรงม้า อัตราการสูบ 0.075 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังผลิต 92 กิโลวัตต์ รวมทั้งระบบท่อส่งน้ำ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณรวม 12 ล้านบาท โดยการใช้ระบบสูบน้ำที่ใช้น้ำมัน เพื่อสูบน้ำ 0.3 ล้านลูกบาศก์เมตรจะใช้เวลาจำนวน 564 ชั่วโมง จะใช้น้ำมัน 15,334 ลิตรต่อปี คิดเป็น ค่าใช้จ่าย รวม 5 แสนบาทต่อปี ในขณะที่ระบบโซลาร์สูบน้ำจะไม่มีต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ซึ่งจะสามารถกระจายน้ำไปยังพื้นที่เกษตรกรรมใกล้เคียง ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าว 39 ไร่ อ้อย 49 ไร่ มันสำปะหลัง 106 ไร่ ไม้ผล 82 ไร่ พืชผัก 34 ไร่ และจะทำให้มีผลผลิตที่เพิ่มขึ้น คิดเป็นรายได้รวมประมาณ 9 แสนบาทต่อปี
สำหรับโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตรกรรม ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ทางกระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จะดำเนินการภายใต้เงื่อนไข ว่าต้องเป็นพื้นที่ ที่มีหนองน้ำหรือสระน้ำที่มีขนาดเหมาะสม ไม่อยู่ในเขตชลประทาน ไม่อยู่ในแม่น้ำสายหลัก ไม่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำและป่าอนุรักษ์ตามกฏหมาย โดยระบบที่ติดตั้ง จะครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมไม่เกิน 1,000 ไร่ ซึ่งรัฐจะเป็นผู้ลงทุนระบบไฟฟ้า ระบบสูบน้ำและระบบจ่ายน้ำสายหลักให้ และเกษตรกรในชุมชนเป็นผู้ลงทุนท่อแยกไปยังพื้นที่เพาะปลูกของตนเอง ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จะส่งมอบโครงการให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆเป็นผู้ดูแลและบริหารจัดการต่อไป โดยที่ คาร์บอนเครดิต ที่เกิดขึ้น จะเป็นของภาครัฐ
ในเบื้องต้นสำหรับโครงการนำร่อง 50 ระบบ ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ ตุลาคม 2568 – กุมภาพันธ์ 2569 จะใช้เงินจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ในขณะที่ ระยะขยายผลอีก 200 ระบบ ที่จะดำเนินการถึงธันวาคม 2569 จะใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งในภาพรวมเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด คาดว่าจะช่วยให้เกิดการประหยัดค่าไฟฟ้าจากการสูบน้ำ 117ล้านบาทต่อไร่ต่อปี เพิ่มผลผลิตให้เกษตรกรมีรายได้ เพิ่มขึ้น 66 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 4,300 บาทต่อไร่ต่อปี
