ในกระแสที่ทั่วโลกหันมาส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าสะอาดเพื่อช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการที่สหภาพยุโรปได้ออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ซึ่งจะมีการเก็บภาษีสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่นำเข้ามาในสหภาพยุโรปตามประเภทสินค้าที่กำหนด เป็นปัจจัยในการผลักดันให้ธุรกิจที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เช่น ธุรกิจศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center มองหาประเทศเป้าหมายที่จะย้ายฐานไปลงทุน โดยนักลงทุนกลุ่มนี้มีเงื่อนไขสำคัญคือต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่มีคุณภาพ มีความมั่นคงในการจ่ายกระแสไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) เพื่อให้นักลงทุนมีหลักประกัน ในขณะเดียวกันก็ต้องมีอัตราค่าไฟฟ้าที่จูงใจเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งด้วย คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 เห็นชอบในหลักการเพื่อให้กระทรวงพลังงานรับเรื่อง Direct PPA ไปดำเนินการ และต่อมาในวันที่ 25 มิถุนายน 2567 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบในมาตรการที่เปิดให้เอกชนทำสัญญา Direct PPA กับการไฟฟ้าตามที่กระทรวงพลังงานนำเสนอ โดยให้เป็นการนำร่องดำเนินการที่ปริมาณไฟฟ้า 2,000 เมกะวัตต์ เพื่อให้ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นแบบ Enhanced Single Buyer Model (ESB) ที่ให้การไฟฟ้าเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าเพียงรายเดียว
ผลจากการผลักดันเชิงนโยบาย ทำให้มีนักลงทุนกลุ่มธุรกิจ Data Center หลายรายให้ความสนใจประเทศไทยและยื่นขอรับสิทธิส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ทั้งนี้ ข้อมูลจากบีโอไอระบุในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565-2567) มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service จำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 2.9 แสนล้านบาท

โดยล่าสุด บอร์ดบีโอไอเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 มีมติอนุมัติส่งเสริมการลงทุน Data Center 3 แห่งจากบริษัทไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ (1) บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (2) บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (3) บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ รัฐมองว่า Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สำหรับรองรับความต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI การที่มีบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทยนอกจากจะส่งเสริมให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าถึงบริการของศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง และมีความเสถียรในการให้บริการดิจิทัล

อย่างไรก็ตามในเรื่องของมาตรการ Direct PPA ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงในรูปแบบที่ประเทศไทยจะนำมาใช้ ตามมติ กพช.นั้น เป็นรูปแบบที่เอกชนต้องขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) ซึ่งทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อยู่ในระหว่างการจัดทำอัตราค่าบริการการใช้และเชื่อมต่อระบบ ที่ครอบคลุมค่าบริการต่าง ๆ เช่น 1) ค่าบริการระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) 2) ค่าบริการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Connection Charge) 3) ค่าบริการความมั่นคงระบบไฟฟ้า (System Security Charge หรือ Ancillary Services Charge) 4) ค่าบริการหรือค่าปรับในการปรับสมดุลหรือบริหารปริมาณไฟฟ้า (Imbalance Charge) 5) ค่าใช้จ่ายเชิงนโยบาย (Policy Expenses) และค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องเหมาะสมและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในภาพรวมทั้งประเทศ และสอดรับกับข้อเสนออัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff: UGT) ด้วย
นอกจากนี้ กพช. ยังมอบหมายให้ทั้งกระทรวงพลังงาน และ กกพ. ยังต้องศึกษาผลกระทบจากการดำเนินการโครงการนำร่อง Direct PPA ใช้ผ่าน TPA ว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานภาพของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มีต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งด้านประชาชนและอุตสาหกรรมอย่างไรด้วย
ซึ่งในการดำเนินการตามมติ กพช. นั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ “ร่างหลักเกณฑ์โครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA)” ผ่านการขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) สำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีข้อกำหนดจากบริษัทแม่ให้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือไฟฟ้าสีเขียว
โดยวัตถุประสงค์ในการเปิดรับฟังความเห็นนั้นเป็นไปเพื่อส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ให้สอดคล้องกับนโยบายพลังงานสะอาดของประเทศ เพื่อเปิดเสรีการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า ภายใต้กลไก Third Party Access (TPA) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในศูนย์ข้อมูล (Data Center) ขนาดใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI และมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 50 เมกะวัตต์ และเพื่อวางรากฐานการพัฒนา ตลาดไฟฟ้าเสรีในอนาคต (Competitive Power Market) ที่โปร่งใสและแข่งขันได้
นอกจากนี้การซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามรูปแบบ Direct PPA จำเป็นต้องผ่านกลไก Third Party Access (TPA) ดังนั้น สำนักงาน กกพ. จึงได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ “ร่างหลักเกณฑ์โครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง หรือ TPA Code” ซึ่งจะเป็นหลักเกณฑ์สำคัญของ Direct PPA เพื่อให้การบริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นธรรม โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ มีความปลอดภัย รวมทั้งไม่ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าและส่วนรวมเสียประโยชน์
ผู้ที่สนใจสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นต่อ “ร่างหลักเกณฑ์ โครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ผ่านการขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) สำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center)” และ “ร่างหลักเกณฑ์โครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง หรือ TPA Code” ได้ที่… https://www.erc.or.th ระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม ถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2568
แนวทางที่ทางสำนักงาน กกพ. ดำเนินการนั้น สอดรับกับการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ที่นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ชี้แจงถึงนโยบาย Quick Big Win ในส่วนกระทรวงพลังงานที่จะต้องทำให้สำเร็จภายในระยะเวลา 4 เดือน มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงาน รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต คือการเร่งทำสัญญา Direct PPA ให้ได้ 2,000 เมกะวัตต์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งเป็นผู้ที่ติดตามนโยบายเรื่องนี้มาโดยตลอด มีประเด็นเพิ่มเติมที่น่าสนใจว่า ธุรกิจ Data Center ที่มาลงทุนในประเทศไทยนั้น ต้องการไฟฟ้าที่มีความมั่นคง กับไฟฟ้าที่มีความสะอาด แต่สิ่งที่ประเทศไทยมีอยู่ในขณะนี้ คือไฟฟ้าที่มีความมั่นคง แต่ยังขาดสัดส่วนไฟฟ้าที่มาจากพลังงานสะอาด ดังนั้นจึงต้องการเห็นความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐ ว่าจะให้การสนับสนุนพลังงานสะอาดขึ้นมาในประเทศได้อย่างไร
โดยการทำ Direct PPA ภาครัฐต้องเปิดสิทธิให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด สามารถเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าของภาครัฐ เพื่อทำการผลิตและจัดส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดนี้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งในวันนี้มีผู้ที่พร้อมจะซื้อแล้วคือ Data Center ที่เป็นบริษัทต่างชาติ โดยจะต้องมีการบวกค่าธรรมเนียมต่างๆในการใช้สายส่งด้วย
ที่ทาง กกพ.จะต้องพิจารณาก็คือว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงในการสร้างระบบโครงข่ายที่ผ่านมา แล้ว หากมีการใช้สัญญา Direct PPA มากขึ้นค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไหร่ ซึ่ง ดร.อารีพร คาดว่าปลายปีนี้น่าจะมีการกำหนดอัตราต่างๆออกมาได้ระดับหนึ่ง
“ตอนนี้ผู้ประกอบการที่จะผลิตไฟฟ้าสีเขียวพร้อม ผู้ซื้ออยากซื้อ แต่ยังไม่มีการซื้อขายกันเกิดขึ้น รอราคาการเชื่อมต่อสายส่งก่อน ประชาชนทั่วไปอยากจะถามว่ามันจะกระทบกับค่าไฟของประชาชนทั้งประเทศไหม ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน มีหน้าที่ในการดูแลให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วนของคนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานไฟฟ้า จะต้องมีการคิดค่าธรรมเนียมในการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า รวมถึงค่าบริการอื่น ๆ เพื่อให้ไม่เกิดผลกระทบต่อประชาชนโดยทั่วไป” ดร. อารีพร กล่าว
ทิ้งท้ายถึงประโยชน์ของ Direct PPA ในมุมมองของ ดร.อารีพร สรุปว่า ปัจจุบันนี้โลกกำลังมุ่งหน้าสู่พลังงานสะอาด ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศได้ก็คือเราต้องมีพลังงานสะอาดในการผลิตสินค้าให้มากขึ้น เพื่อให้สินค้านั้นได้รับการตอบรับจากต่างประเทศ เป็นการสนับสนุนการส่งออก และสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ซึ่ง Direct PPA เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดที่ตรงกับความต้องการ ซึ่งไม่เพียงเฉพาะกลุ่ม Data Center แต่รวมถึงกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและ Net Zero จึงเป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงด้วย
