ไทยจับมือญี่ปุ่น เดินหน้า CCS กักเก็บคาร์บอนฯ ในทะเล รองรับนโยบายขยับเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

65
- Advertisment-

รัฐมนตรีพลังงาน เผยนโยบายขยับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี ต้องใช้โครงการ CCS กักเก็บคาร์บอนฯ ใต้ทะเลมาดำเนินการ ระบุมีพื้นที่เก็บได้ 7,000 ล้านตันต่อปี ถือเป็นโครงการระดับประเทศที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เบื้องต้นกระทรวงพลังงานจะจับมือญี่ปุ่นร่วมกันดำเนินการสำรวจพื้นที่เป็นขั้นตอนแรก พร้อมระบุแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ เสร็จภายใน 4 เดือน เร่งจัดตั้งคณะกรรมการจัดทำ PDP ชุดใหม่เร็วๆ นี้

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมกำหนดปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ.2608) เป็นปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593)ว่ารัฐบาลมีแนวทางที่จะดำเนินการได้ โดยใช้ “เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS)” เบื้องต้นมีแหล่งที่จะกักเก็บคาร์บอนฯ ในทะเลห่างจากฝั่ง 200 กิโลเมตร คาดว่าสามารถกักเก็บได้ถึงระดับ 7,000 ล้านตัน โดยนายอรรถพล เปิดเผยว่า แผนการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงาน ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่ว่าด้วย “Quick Big Win” โดยกระทรวงพลังงาน จะเดินหน้าผลักดันและก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 จากเดิมที่กำหนดเป้าหมายในปี ค.ศ.2065 หรือเร็วกว่าเดิม 15 ปีนั้น ทางกระทรวงพลังงาน จะต้องเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ฉบับใหม่ ที่ปรับปรุงจากแผน PDP 2018 ให้สอดรับกับสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน และตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero ในปี ค.ศ.2050 ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero คือ การส่งเสริมโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ที่จะช่วยกักเก็บคาร์บอนได้ในปริมาณมาก ซึ่งจะต้องเริ่มดำเนินการให้เกิดขึ้นโดยเร็ว และปัจจุบันกระทรวงพลังงานก็มีความร่วมมือกับญี่ปุ่นที่จะเข้ามาสำรวจพื้นที่นอกชายฝั่ง ใต้ทะเล ที่มีระยะห่างออกไปจากชายฝั่งประมาณ 200 กิโลเมตร และคาดการณ์ว่าจะมีศักยภาพในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 7,000 ล้านตันต่อปี มากกว่า โครงการ CCS นำร่อง(แหล่งอาทิตย์) ของ ปตท.สผ. ที่มีการกักเก็บได้ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี

“โครงการ CCS ที่จะบรรจุอยู่ในแผน PDP ฉบับใหม่ จะเป็นโครงการระดับประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงานจะร่วมมือกับ ญี่ปุ่น ในการริเริ่มโครงการ โดยกระทรวงพลังงานจะทำหน้าที่ระดมความคิดเห็นจากหลายหน่วยงาน ที่ต้องดูเรื่องกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งกระทรวงทรัพย์ฯ กระทรวงการคลังที่มีเรื่องภาษี โดยเบื้องต้นจะต้องเร่งนำเรือเข้ามาสำรวจพื้นที่ เพื่อประเมินศักยภาพของแหล่งว่ามีความเหมาะสมที่จะกักเก็บคาร์บอนฯ หรือไม่ ก็เป็นความร่วมมือของกระทรวงพลังงานและญี่ปุ่นที่จะนำเรือเข้ามา ซึ่งโครงการCCS จะใช้เวลาดำเนินการเป็น 10 ปีกว่าจะเสร็จสิ้น แต่ก็ต้องเริ่มคิดและทำตั้งแต่วันนี้ เพราะCCS เป็นเรื่องใหม่ หากยังไม่สามารถนำเรือเข้ามาได้ ก็ต้องไปปลดล็อกกฎเกณฑ์และกฎหมายก่อน เพื่อให้นับหนึ่งโครงการให้ได้”

- Advertisment -

อย่างไรก็ตามการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ค.ศ. 2050 นั้น จำเป็นจะต้องปรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50% หรือไม่นั้น ยังต้องรอให้คณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) เป็นผู้พิจารณา ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการฯ ชุดใหม่ หลังจากประธานคณะกรรมการฯชุดเดิมได้ลาออกไป คาดว่าจะประกาศรายชื่อได้ในเร็วๆ นี้ โดยคณะกรรมการฯ ชุดใหม่จะเข้าไปพิจารณาความเหมาะสมในการจัดพอร์ตสัดส่วนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในแผน PDP ให้สอดรับกับเป้าหมาย Net Zero

“เมื่อประธานคณะกรรมการ PDP ชุดเดิมลาออกไป เข้าใจว่าการจะตั้งคณะกรรมการฯ ชุดใหม่จะต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณา ซึ่งการจัดประชุม กพช. นัดแรกยังอยู่ระหว่างประสานนัดหมายวันประชุม โดยตั้งเป้าหมายการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ จะต้องเสร็จสิ้นภายใน 4 เดือนนี้”

สำหรับนโยบายส่งเสริมโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ครอบคลุมกว่า 300 ชุมชน หรือ 15,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ เป็นการดำเนินการภายใต้แผนPDP ที่เดิมมีโควตาผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฯ เหลืออยู่กว่า 8,000 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ทยอยเปิดโครงการไปแล้ว และยังมีโควตาเหลืออยู่ 1,500 เมกะวัตต์ ก็จะกระจายไปยังชุมชนต่างๆ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการกับชุมชน โดยไฟฟ้าที่ได้จะจำหน่ายให้กับชุมชนในราคาต่ำกว่าราคาไฟฟ้าทั่วไป และไฟฟ้าที่เหลือจะขายเข้าสู่ระบบส่งโดยจะต้องกำหนดราคาที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งโครงการฯนี้ จะต้องผ่านการพิจารณาจาก กพช. และส่งมอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้จัดทำหลักเกณฑ์และรายละเอียดโครงการก่อนออกประกาศต่อไป คาดว่าจะประกาศหลักเกณฑ์ได้ภายใน 4 เดือนนี้  

ส่วนการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (บอร์ด กกพ.) ที่ยังมีปัญหาอยู่นั้น เบื้องต้นจะต้องเร่งกระบวนการจัดตั้ง “คณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการ กกพ.” ให้เกิดขึ้นก่อน โดยจะต้องไปดูรายละเอียดตามขั้นตอนกฎหมายที่กำหนดไว้

ขณะที่การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (ผู้ว่าฯ กฟผ.) คนใหม่นั้น เข้าใจว่าคณะกรรมการสรรหา ได้พิจารณาเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว และอยู่ในขั้นตอนเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

นายอรรถพล กล่าวด้วยว่า การประกาศปรับลดการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร ในวันนี้ โดยมีผลในวันที่ 4 ต.ค.2568 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ลดลง 50 สตางค์ต่อลิตร และทางผู้ค้าน้ำมันยังได้ปรับลดราคาเบนซิน ลง 50 สตางค์ต่อลิตรในวันที่ 4 ต.ค.2568 ด้วยนั้น เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการดูแลและลดภาระค่าพลังงานให้กับประชาชน โดยในส่วนของดีเซลจะยังคงตรึงราคาขายปลีกไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร รวมถึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ถังขนาด 15 กิโลกรัม จะยังตรึงราคาอยู่ที่ 423 บาท ส่วนอัตราค่าไฟฟ้างวดใหม่ (ม.ค.-เม.ย. 2569) เบื้องต้นกำหนดนโยบายให้บริหารจัดการราคาให้อยู่ในระดับปัจจุบันคือ 3.94 บาทต่อหน่วย หรือหากสามารถบริหารจัดการให้ราคาลดลงได้ก็จะรีบดำเนินการ

Advertisment