ปตท.สผ. ชี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2568 อยู่ในกรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

59
- Advertisment-

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2568 อยู่ในกรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาก๊าซ LNG ลดลงมาอยู่ที่ 5.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู พร้อมปรับเพิ่มเป้าปริมาณการขายปิโตรเลียมปี 2568 แตะระดับ 5.12-5.17 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หลังรับรู้กำลังผลิตเพิ่มหลายโครงการ

นายเสริมศักดิ์ สัจจะวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) เปิดเผยในงาน Oppday Q2/2025 ว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบ ในช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดว่าอุปสงค์จะชะลอตัวลง ส่วนอุปทานจะเพิ่มมากขึ้นจากกลุ่มโอเปกพลัส ทำให้ตลาดโลกมีกำลังผลิตที่เกินความต้องการใช้อยู่กว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันดิบ โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 65-75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ส่วนทิศทางราคา Spot LNG ในช่วงที่เหลือของปี 2568 นี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12-14 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู จากปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 11.9 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู จากภาวะอุปสงค์ที่มากกว่าอุปทาน ตามความต้องการใช้ LNG ที่เพิ่มขึ้นทั้งในเอเชียและยุโรป

- Advertisment -

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงจับตามองปัญหาโอเวอร์ซัพพลายที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ ซึ่งในพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ จะมีน้ำมันอยู่ 30% และก๊าซฯ อีก 70% โดยราคาน้ำมันดิบที่ลดลงทุก 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะส่งผลต่อกำไรของบริษัทฯ ประมาณ 34 ล้านเหรียญสหรัฐฯส่วนก๊าซฯอีก 70% จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นบริษัทฯ จึงได้บริหารจัดการโดยลดต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติในไตรมาส 3 ปี 2568 และตลอดทั้งปี 2568 คาดว่า จะอยู่ที่ระดับ 5.8 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านBTU ใกล้เคียงกับไตรมาส 2 และมีต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) เฉลี่ยอยู่ที่ 30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ รวมถึงอัตรากำไรที่ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายได้ (EBITDA Margin) คาดว่าจะรักษาระดับอยู่ในช่วง 70-75% ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งถือเป็นระดับที่บริษัทฯ สามารถรักษาได้ตลอดมา

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 คาดว่า จะเติบโตขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการขายที่จะเพิ่มขึ้น หลังจากมีการซื้อกิจการแปลง A-18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) สัดส่วน 50% ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการขายได้ทันทีนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากงวดไตรมาส 2/2568 โดยประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปริมาณการขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 5.15 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน

ขณะที่ในไตรมาส 4 ปี 2568 คาดว่าปริมาณการขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก จากการเพิ่มกำลังการผลิตทั้งในภูมิภาคประเทศแอลจีเรีย,โอมาน และมาเลเซีย

ส่งผลให้ทั้งปี 2568 บริษัทฯ ได้ปรับเป้าหมายปริมาณการขายเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 5.12-5.17 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากเดิมคาดไว้ที่ 5.05-5.10 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน และเติบโตจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 4.89 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในหลายโครงการ เช่น โครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) ที่มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (จากเดิม 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน) รวมถึงแหล่งก๊าซธรรมชาติบนบกโครงการสินภูฮ่อมและโครงการแปลง A-18

“ปตท.สผ.มั่นใจว่า ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า จะสามารถรักษาอัตราการผลิตปิโตรเลียมให้เติบโตเฉลี่ย 2-3% ต่อปีได้”

นายเสริมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กรณีที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อก๊าซฯที่ขายในประเทศ แต่ในทางอ้อมจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ส่วนกรณีไทยเตรียมนำเข้า LNG จากสหรัฐฯนั้น ในส่วนของ ปตท.สผ. เป็นการผลิตก๊าซฯ จากแหล่งในประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่าการนำเข้า LNG ฉะนั้นการรักษาอัตราการผลิตหรือการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซฯ ของ ปตท.สผ.จะช่วยทดแทนการนำเข้า LNG ฉะนั้นการบริหารจัดการ LNG ที่อาจจะเข้ามาของสหรัฐฯ จะไปอยู่ในพอร์ตของประเทศ ซึ่งไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อ ปตท.สผ.

สำหรับความคืบหน้าโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS (Carbon Capture and Storage) แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย ได้ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) แล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ได้ใน 3 ปี โดยหลังจากการนำก๊าซธรรมชาติจากหลุมใต้ดินขึ้นมาใช้หมดแล้ว จะนำของเหลือที่ไม่ต้องการ เช่น CO2  ซึ่งถูกดักจับไว้และจะถูกอัดกลับลงไปในหลุมที่ว่าง เพื่อกักเก็บถาวรในชั้นหินใต้ดินลึกลงไปมากกว่าพันเมตร คาดว่าจะสามารถลดการปล่อย CO2 ได้ประมาณ 700,000–1,000,000 ตันต่อปี

ส่วนโครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน ซึ่งตั้งอยู่นอกชายฝั่งของประเทศโมซัมบิก ปัจจุบันมีความชัดเจนเรื่องการทบทวนแผนงานและงบประมาณการลงทุน ที่ได้เริ่มพูดคุยกับผู้ดำเนินโครงการฯ คือ โททาล แล้ว และโครงการอยู่ระหว่างเริ่มการก่อสร้างในพื้นที่ คาดว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีความชัดเจนในรายละเอียดมากขึ้น

Advertisment