GPSC พร้อมรับมือรัฐ คุมค่า Ft คาดทั้งปีทรงตัวเฉลี่ย 19.72 – 36.72 สตางค์ต่อหน่วย

75
- Advertisment-

บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC คาดปี 2568 ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) เฉลี่ย 19.72 – 36.72 สตางค์ต่อหน่วย มั่นใจรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าได้แม้ว่าค่า Ft จะลดลง พร้อมตั้งเป้าโครงการ ebitda uplift อยู่ที่ 500 ล้านบาทในปี 2568  และจะเพิ่มเป็น 900 ล้านบาท ในปี 2570  คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก เหตุได้รับแรงหนุนจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น

น.ส.สุกิตตี ไชยรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยในงาน Oppday Q1/2025 GPSC ในวันที่ 19 พ.ค. 2568 โดยระบุว่า คาดว่าทั้งปี 2568 นี้ อัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) เฉลี่ยจะอยู่ที่ 19.72 – 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยอยู่ที่ 320-330 บาทต่อล้านบีทียู และราคาถ่านหินเฉลี่ยอยู่ที่ 110 -120 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งปี 2568 จะลดลงตามดีมานด์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) แต่การใช้ไอน้ำจะดีขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาททรงตัว ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 นี้ บริษัทฯ จะยังคงรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าได้แม้ว่าค่Ft จะลดลง แต่ยังบริหารจัดการได้ รวมถึงต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ ในปีนี้จะลดลงตามการบริหารต้นทุนทางการเงิน และการปรับพอร์ตการลงทุนให้สมดุลมากขึ้น ซึ่งในปีนี้จะดำเนินการเรื่องของ ebitda uplift ที่จะส่งผลให้การบริหารจัดการผลประกอบการเป็นไปตามแผน โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายจะเพิ่ม ebitda uplift อยู่ที่ 500 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 900 ล้านบาท ในปี 2570

- Advertisment -

นอกจากนี้ ในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้เต็มปีจากการร่วมทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง (CFXD) กำลังการผลิตรวม 595 เมกะวัตต์ ในไต้หวัน ซึ่งได้ติดตั้งกังหันลม พร้อมจะเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 62 ต้น

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัท ในไตรมาส 2 ปี 2568 นี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากไตรมาสที่ 1 ปี 2568  ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 1,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 276 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2567 แม้ว่าอัตราค่า Ft จะลดลงจากไตรมาส 1 ที่ผ่าน โดยค่า Ft อยู่ที่ 19.72 สตางค์ต่อหน่วย ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติทรงตัว อยู่ที่ 320-330 บาทต่อล้านบีทียู และราคาถ่านหินลดลงมา อยู่ที่ 105-115 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (SPP) จะปรับตัวดีขึ้น

สำหรับการขายหุ้นบริษัท Avaada Energy Private Limited หรือ AEPL ในสัดส่วน 3.03% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ AEPL คิดเป็นมูลค่าประมาณ 79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยขายหุ้นให้แก่ Avaada Venture Private Limited หรือ AVPL ผู้ถือหุ้นปัจจุบัน การขายหุ้นดังกล่าวจะมีผลสมบูรณ์เมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่คู่สัญญาตกลงกันสำเร็จครบถ้วน โดยคาดว่าการดำเนินงานในสัญญาทั้งสองฝ่ายจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ภายหลังการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ GPSC ซึ่งถือหุ้นใน AEPL 39.90% และ AVPL ถือหุ้น เป็น 60.10% แม้ว่าการปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นลง แต่ปริมาณกำลังการผลิตไม่ได้ลดลง และจะยังร่วมมือกันเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ส่วนแผนการนำ AEPL เข้าระดมทุนขายหุ้น IPO จะเป็นช่วงใดนั้น ยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่จะสอดรับกับเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิต ที่คาดว่าจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนในช่วงปี 2569-2570

ด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับการเข้าซื้อหน่วยผลิตไฟฟ้า (Energy Recovery Unit : ERU) จาก บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)  หรือ TOP ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 95% ซึ่งโครงการ ERU จะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ 757 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่ง GPSC ได้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 15% หรือประมาณ 96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการภายใต้สัญญาเดิม โดยหากโครงการยังไม่แล้วเสร็จภายในเดือน ส.ค. 2569 ก็จะพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการฯ อีกครั้ง ซึ่งหากไม่ไปต่อก็คาดว่าจะได้ผลตอบแทนการลงทุน ราว 4% ของเงินที่ลงทุนไป แต่ถ้าไปต่อโครงการฯ นี้ก็มีเป้าหมายเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ช่วงไตรมาส 1 ปี 2572 โดยคาดว่า ในช่วงไตรมาส 3- 4 ของปี 2568 นี้ จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ที่บริษัท ได้ร่วมกับพันธมิตร Saltfoss Energy ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ SMR มาใช้ในรูปแบบเรือผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานในพื้นที่อุตสาหกรรม เช่น พื้นที่มาบตาพุด โดยใช้ระยะเวลาศึกษา 4 ปี (2567 -2570) กำลังการผลิต 200 -700 เมกะวัตต์ ซึ่งการลงทุนใน SMR ถือว่าตอบโจทย์ความสามารถของบริษัทฯ ในการเพิ่มปริมาณไอน้ำจากพลังงานสะอาดป้อนให้กับลูกค้าในอนาคต และยังช่วยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยภายในปี 2608

Advertisment