ไตรมาสแรก EGCO Group กำไรสุทธิพุ่ง 115% กว่า 3,500 ล้านบาท ผลจากการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์

45
- Advertisment-

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group โชว์ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ทะยานต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 3,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า RISEC สหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้า Boco Rock Wind Farm ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Asset Recycling) และนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ในขณะเดียวกัน EGCO Group เร่งเครื่องแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก โดยเฉพาะการลงทุนในสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างรายได้และผลกำไรตามเป้าหมาย 

ดร. จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลกเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวนอย่างมาก จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม EGCO Group ยังสามารถบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอและการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 1/2568 มีความเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่สำคัญ นอกจากการปิดดีลขายหุ้นทั้งหมดของโรงไฟฟ้า RISEC ในสหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้า Boco Rock Wind Farm ในออสเตรเลีย ได้แก่ การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 80 ต้น รวม 640 เมกะวัตต์ ของโรงไฟฟ้า Yunlin ในไต้หวัน การลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ ระยะเวลา 15 ปี ของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ EGCO Group ได้ลงนามสัญญาซื้อหุ้น 49% ในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll ในสหรัฐอเมริกา และการเพิ่มทุน 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน CDI ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ในอินโดนีเซีย  

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 EGCO Group รับรู้รายได้รวม 10,838 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 3,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115% หรือ 1,915 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีปัจจัยบวกจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า RISEC ในสหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้า Boco Rock Wind Farm ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Asset Recycling) และนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว  

- Advertisment -

“ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวนในปัจจุบัน EGCO Group ยังคงเดินหน้าเร่งเครื่องแสวงหาโอกาสการลงทุนและเพิ่มกำลังผลิตใหม่ในธุรกิจไฟฟ้า ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์ “Triple P” ที่มีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่อง การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรในทุกมิติ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน EGCO Group ได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกาศนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สำหรับการลงทุนในโครงการใหม่ EGCO Group จะพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงอย่างรอบด้านอยู่เสมอ โดยครอบคลุมถึงนโยบายของแต่ละประเทศที่เข้าไปลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนต่าง ๆ จะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้ตามเป้าหมาย และบริษัทสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ” ดร.จิราพร กล่าว

เกี่ยวกับ EGCO Group

ปัจจุบัน (ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2568) EGCO Group มีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 6,662 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,399 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 21% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมทั้งบนบกและนอกชายฝั่ง เซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด “ESCO” ให้บริการงานเดินเครื่อง บำรุงรักษา วิศวกรรม ก่อสร้าง อนุรักษ์พลังงาน และการฝึกอบรมแก่โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ บริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค “CDI” ในอินโดนีเซีย ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “TPN” โครงการนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง “ERIE” บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม “Innopower” และบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน “Peer Power”

Advertisment