เยือนเขื่อนจุฬาภรณ์ ลุ้นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ แหล่งพลังงานสำรองแห่งใหม่ เสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าประเทศ

232
- Advertisment-

คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ทราบว่า เขื่อนจุฬาภรณ์  ซึ่งเป็นหนึ่งจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ต้องการสูดโอโซน ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม ดื่มด่ำสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ขุนเขาป่าไม้ ในทะเลหมอก ผืนแผ่นน้ำที่สงบ เย็น ถูกเรียกเป็น “สวิตเซอร์แลนด์ของประเทศไทย” ที่ในอีกแง่หนึ่ง กำลังจะถูกพัฒนาเป็นแหล่งสำรองพลังงานแห่งใหม่ที่สำคัญ แบบกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ช่วยเติมความพร้อม เสริมความมั่นคงไฟฟ้าให้ประเทศ เพราะเมื่อรัฐบาลไปประกาศเป้าหมายจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 จึงจำเป็นจะต้องมีแหล่งพลังงานสะอาดที่จะมาช่วยลดการปล่อยคาร์บอน เติมเข้าสู่ระบบ และ โรงไฟฟ้าพลังน้ำจุฬาภรณ์แบบสูบกลับ คือหนึ่งในโครงการที่จะช่วยตอบโจทย์ดังกล่าว 

เขื่อนจุฬาภรณ์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์ของประเทศไทย”

เขื่อนจุฬาภรณ์  หรือชื่อเดิมคือ  “เขื่อนน้ำพรม” ตั้งอยู่ใน อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ถือเป็นเขื่อนที่สร้างประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดที่สำคัญแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ประโยชน์ด้านการชลประทานที่ช่วยส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกให้พื้นที่การเกษตรตามลำน้ำพรมช่วงฤดูแล้ง กินบริเวณ ประมาณ 50,300 ไร่ และตามลำน้ำเชิญ อีกประมาณ 20,800 ไร่  ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ที่ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาที่เขื่อนจำนวนมาก และอีกประโยชน์ที่สำคัญคือด้านพลังงาน  โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจุฬาภรณ์ และ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ ที่เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 และโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนจุฬาภรณ์ ขนาดกำลังผลิต 1.25 เมกะวัตต์ ที่เดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำจุฬาภรณ์แบบสูบกลับ ซึ่งจะเป็นโครงการลงทุนใหม่ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เดิมถูกบรรจุไว้ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ แผนพีดีพี 2024  แต่เมื่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. มีมติให้ตั้ง คณะกรรมการพยากรณ์และจัดทําแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ที่มี นาย สุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เพื่อจัดทำร่างแผนพีดีพีขึ้นใหม่  จึงต้องรอติดตามว่า โครงการดังกล่าวจะยังถูกบรรจุเอาไว้อยู่ในแผนหรือไม่ 

- Advertisment -

อย่างไรก็ตาม ทาง กฟผ.ได้มีการเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการเอาไว้แล้ว โดยได้มีการศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายงานประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปตั้งแต่เดือนเมษายน 2567  ซึ่งหากโครงการได้ถูกบรรจุไว้ในแผนพีดีพีใหม่ ก็จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้าง  ตามขั้นตอนต่อไป 

เมื่อเร็วๆนี้ ผู้สื่อข่าว Energy News Center- ENC ได้มีโอกาสเดินทางไปยังเขื่อนจุฬาภรณ์ และร่วมรับฟังการบรรยายจาก นาย วิภู พิวัฒน์  รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า กฟผ. ทำให้ได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจุฬาภรณ์แบบสูบกลับ มีจุดเด่น คือ เป็นการนำศักยภาพของแรงดันที่เกิดจากความชันของอ่างเก็บน้ำด้านบน กับอ่างเก็บน้ำด้านล่าง หรือ Head ที่ต่างกันถึง 300 เมตร มากกว่าทุกเขื่อนที่มีอยู่ในประเทศไทย มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งในทางวิศวกรรมมองว่า ยิ่งมีความต่างของระดับน้ำ (Head) มากเท่าใด ก็ยิ่งมีพลังงานศักย์ (Potential Energy) ที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้มากเท่านั้น  โดยในผลการศึกษาพบว่าความชันของเขื่อนจุฬาภรณ์จะทำให้เกิดแรงดันได้สูงประมาณ 30 บาร์ หรือเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ใช้ปริมาณน้ำเพียง 1 ลูกบาศก์เมตร ในการผลิตไฟฟ้าได้ 1 หน่วย ในขณะที่เขื่อนอื่นๆที่มีค่าแรงดันจากความชันน้อยกว่า  อาจต้องใช้น้ำมากถึง 6 ลูกบาศก์เมตรเพื่อจะผลิตไฟฟ้าได้ 1 หน่วย  ดังนั้นในปริมาณอ่างเก็บน้ำด้านบน เมื่อปล่อยลงสู่อ่างเก็บน้ำด้านล่าง ผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จึงสามารถผลิตไฟฟ้าที่เป็นกำลังการผลิตติดตั้งใหม่ได้สูงถึง 800 เมกะวัตต์ 

วิภู พิวัฒน์  รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า กฟผ.

สำหรับการลงทุนที่สำคัญของโครงการคืองานก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดิน และการวางท่อส่งน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตร  เครื่องกำเนิดไฟฟ้า(Generator )4 ตัว ตัวละ 200 เมกะวัตต์ รวม 800 เมกะวัตต์ และงานก่อสร้างเขื่อนปิดกั้นลำน้ำสุ บริเวณท้ายน้ำโรงไฟฟ้าจุฬาภรณ์ประมาณ 5 กิโลเมตรให้สามารถเก็บกักน้ำที่จะปล่อยจากด้านบนลงมาเพื่อผลิตไฟฟ้าเต็มกำลังการผลิต  งานก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับถึงตำบลห้วยยาง ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ทั้งนี้โครงการมีแผนจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date: COD) ภายในปี พ.ศ. 2578 

ดูแนวเส้นทางที่จะต้องเจาะอุโมงค์ใต้ดิน ที่ยังรักษาสภาพแวดล้อมของป่าให้สมบูรณ์เช่นเดิม

ในหลักการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ นั้นใช้หลักการเดียวกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำทั่วไป คือเก็บกักน้ำไว้ในอ่างเก็บน้ำด้านบน แล้วปล่อยน้ำผลิตไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้ามาก ลงไปในอ่างใหม่ ซึ่งจะใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าทดแทนไฟฟ้าจากพลังลมหรือแสงอาทิตย์ที่ขาดหายไปจากระบบได้อย่างทันท่วงที  ซึ่งแตกต่างจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ที่ต้องใช้เวลาในการเตรียมการนานถึง 2-4 ชั่วโมง จึงจะสามารถผลิตไฟฟ้าเข้าไปช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าได้  ดังนั้นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากพลังงานหมุนเวียนหรือช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการใช้สูงสุด (ช่วง Peak) ชะลอการลงทุนโรงไฟฟ้าที่จะมารองรับเฉพาะช่วง Peak ลงได้ 

ในขณะที่ในช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีน้อย และไฟฟ้าในระบบส่งมีเหลือ ก็สามารถดึงไฟฟ้าจากระบบมาสูบน้ำจากอ่างด้านล่าง กลับขึ้นไปเก็บไว้ยังอ่างด้านบนที่พร่องอยู่ ให้เต็มในระดับเดิม เพื่อเตรียมไว้สำหรับผลิตไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการใช้สูงต่อไป โดยไม่ส่งผลกระทบกับการใช้น้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค และเพื่อการเกษตรของประชาชน

จะเห็นว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจุฬาภรณ์แบบสูบกลับ มีความสำคัญ คือทำหน้าที่เป็นระบบกักเก็บพลังงาน หรือ Energy Storage System (ESS) ที่นอกจากช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตไฟฟ้าแล้วยังมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนโรงใหม่ ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  จึงมีความเหมาะสมกับทิศทางของประเทศที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด  โดยที่เขื่อนยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติแวดล้อมอยู่เช่นเดิม

ปัจจุบัน กฟผ. มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ 3 แห่ง ได้แก่ 1) เขื่อนศรีนครินทร์ เครื่องที่ 4 และ 5 จังหวัดกาญจนบุรี กำลังผลิต 360 เมกะวัตต์ 2) เขื่อนภูมิพล เครื่องที่ 8 จังหวัดตาก กำลังผลิต 171 เมกะวัตต์ และ 3) โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จังหวัดนครราชสีมา กำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์

Advertisment