ประเทศไทยประกาศเจตนารมณ์ต่อประชาคมโลกว่าจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero greenhouse gas emissions) ในปี 2065 ในขณะที่การใช้พลังงานจากฟอสซิล ทั้งถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังมีความจำเป็นสำหรับช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ( Energy Transition ) เพราะต้นทุนราคาถูกและช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ดังนั้น การมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจึงมีความสำคัญในการผลักดันให้ไทยสามารถบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน หรือ CCS (Carbon Capture and Storage) รวมถึงเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน หรือ CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) จึงเป็นแนวทางที่มีการกล่าวถึงกันมากในช่วง 2-3 ปีมานี้
สำหรับ CCS เป็นกระบวนการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยออกมาจากแหล่งกำเนิดขนาดใหญ่ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิต เช่น โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมอย่างโรงงานปูนซีเมนต์และโรงงานเหล็ก โดยมีการนำ CO2 ที่ดักจับไว้ก่อนที่จะถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ มาอัดให้มีความดันสูง และขนส่งไปยังแหล่งกักเก็บใต้ดินอย่างถาวร โดยส่วนใหญ่มักจะไปกักเก็บไว้ในหลุมปิโตรเลียมเก่าที่นำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์จนหมดแล้ว
นอกจาก CCS แล้ว ยังมี CCUS ที่เป็นการต่อยอดจาก CCS คือนำ CO2 ที่ดักจับได้มาใช้ประโยชน์ (Utilization) แทนที่จะกักเก็บอย่างเดียว ซึ่ง CO2 นั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการผลิตสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เมทานอล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการผลิตสารเคมีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมเคมีและการสังเคราะห์ อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และเป็นสารเคมีที่มีการนำเข้าอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย รวมถึงนำมาผลิตสารโพลีคาร์บอเนตที่ใช้งานในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลมและการถนอมอาหาร หรือ ผลิตยูเรียที่ใช้เป็นส่วนผสมในปุ๋ยเพื่อเร่งการเติบโตของพืช เป็นต้น โดยขึ้นอยู่กับความคุ้มทุนและความต้องการใช้
อย่างไรก็ตามแม้เทคโนโลยี CCS และ CCUS จะมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ แต่ด้วยเทคโนโลยีนี้ยังมีต้นทุนที่สูง การลงทุนจึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าและนโยบายการสนับสนุนที่ชัดเจนจากภาครัฐ
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ได้เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนของประเทศ มาตั้งแต่ปี 2565 แล้ว เพื่อผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีด้านการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน มาประยุกต์ใช้ในภาคพลังงานและภาคอุตสาหกรรมให้ได้อย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับประชาคมโลก

ขณะเดียวกัน ยังมีการจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS Technology Development Consortium) นำโดยศูนย์เทคโนโลยีและวิศวกรรมเพื่อเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio–Circular–Green economy Technology & Engineering Center) หรือศูนย์ BCGeTEC คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นเมื่อปี 2565 ซึ่งมีวัตถุประสงค์สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อศึกษาพัฒนาและผลักดันการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี CCUS ให้กับประเทศไทย โดยมีหน่วยงานจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าเป็นสมาชิกร่วม ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) โดยมีหน่วยงานภาครัฐและองค์กรสาธารณะอยู่ในฐานะที่ปรึกษา
ภาครัฐมองว่าพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้และมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ CCS ทางด้านเทคนิค มีอยู่ 2 แห่ง คือ พื้นที่บริเวณอ่าวไทยตอนบนและพื้นที่บริเวณแอ่งลําปาง จังหวัดลําปาง โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2566 ทาง Japan Organization for Metals and Energy Security (JOGMEC) และ INPEX CORPORATION จากประเทศญี่ปุ่น ได้มีความร่วมมือกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และ บริษัท ปตท.สผ. ในกลุ่ม ปตท. ร่วมกันศึกษาและประเมินศักยภาพชั้นหินทางธรณีวิทยาเพื่อกักเก็บคาร์บอนบริเวณอ่าวไทยตอนบน ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีข้อมูลด้านธรณีวิทยาที่จำเป็นต่อการวางแผนพัฒนาโครงการ CCS ในอ่าวไทย รวมทั้ง เพื่อสนับสนุนการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย
สำหรับ ปตท.สผ. นั้นมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ CCS มาตั้งแต่ปี 2564 ที่แหล่งอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งล่าสุดได้เสร็จสิ้นขั้นตอนของการออกแบบด้านวิศวกรรม (FEED) แล้ว และคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ได้ในปี 2570 ซึ่งจะสามารถลดการปล่อย CO2 ได้ประมาณ 700,000–1,000,000 ตันต่อปี
ปัจจุบันเรื่องของ CCS และ CCUS ถือได้ว่าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีความตื่นตัวในระดับหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญที่จะทำให้การลงทุนดังกล่าวมีความเป็นไปได้เร็วขึ้นคือการแก้ไขกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นกฎหมายหลักและร่างกฎหมายลําดับรองที่จะใช้กํากับดูแลกิจการการกักเก็บ CO2 ทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการติดตาม ตรวจสอบ เฝ้าระวังการกักเก็บ CO2 การรั่วไหลและการเคลื่อนตัวของ CO2 เป็นต้น รวมทั้งมาตรการที่จะสร้างแรงจูงใจต่างๆ ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนด้วย