“พลังของพลัง” 40 ปี ปตท.สผ. พลังเพื่อประเทศและคนไทย

144
- Advertisment-

สิ่งที่เราแทบจะขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน คงไม่มีใครปฏิเสธว่าหนึ่งในนั้น คือ “พลังงาน” เพราะพลังงานเป็นปัจจัยพื้นฐานของการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ แล้วแหล่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงประเทศไทยของเรานั้นมาจากไหน เกิดขึ้นเมื่อไหร่

เริ่มต้นเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว นับตั้งแต่ที่มีการพบน้ำมันดิบซึมขึ้นมาบนพื้นดินที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในปี 2461 การพบน้ำมันดิบในครั้งนั้น นับเป็นการจุดประกายความหวังในการมีแหล่งพลังงานในบ้านของเราเอง

แม้จะรู้ว่ามีทรัพยากรปิโตรเลียมซึ่งก็คือน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติอยู่ใต้พื้นพิภพ แต่การนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในขณะนั้น หลายอย่างเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย ประกอบกับข้อจำกัดที่ยังมีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี เงินทุน หรือองค์ความรู้ ในช่วงเริ่มต้นของการค้นหาแหล่งพลังงาน ไทยจึงต้องอนุญาตให้บริษัทน้ำมันนานาชาติเข้ามาประมูลสัมปทานปิโตรเลียมทั้งบนบกและในอ่าวไทย โดยที่เราอยู่ในฐานะเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหล่านั้น เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ

- Advertisment -

ก่อเกิดนักบุกเบิกพลังงานไทย เพื่อพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน

ด้วยวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในสมัยนั้น และผู้ที่มีคุโณปการหลายท่านเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เห็นว่าประเทศไทยควรจะต้องพึ่งพาตนเองด้านพลังงานให้ได้ เพราะนั่นหมายถึง การสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. (ชื่อปัจจุบัน) จึงถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2528 เพื่อดำเนินการสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียม โดยให้แยกหน่วยงานออกมาจาก ปตท. ภารกิจแรกของ ปตท.สผ. ในตอนนั้นคือการเข้าร่วมลงทุนในแปลงเอส 1 (แหล่งสิริกิติ์) ที่ อ.ลานกระบือ จ.พิษณุโลก กับบริษัทไทยเชลล์ ซึ่งมีการค้นพบและผลิตน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์แล้ว เพื่อมีส่วนร่วมในการบริหารแหล่งทรัพยากรของประเทศ

จากนั้น ปตท.สผ. ได้เข้าไปร่วมลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมอื่น ๆ กับบริษัทน้ำมันนานาชาติอีกหลายบริษัทซึ่งได้รับสัมปทานปิโตรเลียม เช่น โครงการอี 5 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการยูโนแคล 3 และโครงการบี 5/27 ในอ่าวไทย รวมทั้งได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการ (operator) แหล่งน้ำมันดิบขนาดเล็กในโครงการพีทีทีอีพี 1 บริเวณ จ.สุพรรณบุรี ทุกโครงการจึงถือเป็นสนามให้ได้เรียนรู้ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ในการดำเนินงาน

ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกจุดหมายที่สำคัญยิ่งของ ปตท.สผ. คือ การเข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในอ่าวไทย “แหล่งบงกช” เพราะอีกนัยหนึ่งนั้นหมายถึง การพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของประเทศไทย และการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ

หลังจากที่รัฐบาลได้มีมติให้ ปตท.สผ. ซื้อสิทธิสัมปทานแหล่งบงกชกลับคืนจากบริษัท เท็กซัส แปซิฟิค ในปี 2531 และมอบภารกิจให้ ปตท.สผ. เข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งบงกชด้วยตนเอง จากที่ยังขาดประสบการณ์ในการสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม นั่นคืออีกความท้าทายที่สำคัญของ ปตท.สผ. ซึ่งต้องข้ามผ่านให้ได้ สิ่งเร่งด่วนที่ต้องทำในขณะนั้น คือ การพัฒนาบุคลากร เรียนรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์เกี่ยวกับกระบวนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมให้ได้เร็วที่สุด เพื่อรับโอนการเป็นผู้ดำเนินการแหล่งบงกชต่อจากบริษัทโททาล ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง ปตท.สผ. คัดเลือกให้เป็นทั้งผู้ร่วมทุนและเป็นทั้งผู้ดำเนินการแหล่งบงกชในช่วงแรกนั้น

นั่นเป็นเงื่อนไขสำคัญในการคัดเลือกโททาลเข้ามาร่วมทุนด้วย คือการที่โททาลจะต้องโอนการเป็นผู้ดำเนินการให้ ปตท.สผ. ภายใน 5 ปี นับตั้งแต่แหล่งบงกชเริ่มผลิตก๊าซฯ ในปี 2536

การจะไปถึงเป้าหมายนั้น บุคลากร ปตท.สผ. ทุกตำแหน่งที่ต้องรับไม้ต่อจากโททาลจะต้องเรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์และฝึกฝนอย่างเข้มข้น ทั้งด้านการสำรวจ ด้านการผลิต ด้านการพัฒนา ไปจนถึงงานสนับสนุนต่าง ๆ ห้องเรียนในขณะนั้น ไม่ได้อยู่ที่แท่นผลิตบงกชกลางอ่าวไทยเท่านั้น แต่อยู่ที่แหล่งปิโตรเลียมต่าง ๆ ของโททาลในหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อินโดนีเซีย ไนจีเรีย เยเมน กาบอง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สกอตแลนด์ ฯลฯ ซึ่งแต่ละพื้นที่ มีความท้าทายแตกต่างกัน เช่น ด้านภูมิประเทศ วัฒนธรรม ภาษา ความเป็นอยู่ ไปจนถึงลักษณะการทำงานของแต่พื้นที่ ซึ่งทุกที่ที่ไป ต้องเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

ในที่สุด แหล่งบงกชก็ได้กลับมาอยู่ในการดูแลของบริษัทไทย โดยในปี 2541 ปตท.สผ. ได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งบงกชได้สำเร็จ พิสูจน์ถึงความสามารถของบริษัทไทยในการดำเนินงานด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมด้วยตนเอง และมีประสิทธิภาพทัดเทียมกับบริษัทน้ำมันนานาชาติ เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของไทยในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน

พร้อมกันกับช่วงเวลาของการเรียนรู้ การเตรียมพร้อมด้านเงินทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากธุรกิจพลังงานต้องใช้เม็ดเงินในการลงทุนสูง ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระของรัฐ ในปี 2536 จึงมีนโยบายให้ ปตท.สผ. จดทะเบียนเข้าเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมเงินทุนจากภาคเอกชนและประชาชนสำหรับรองรับการขยายการดำเนินงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการแสวงหาปิโตรเลียมได้อย่างกว้างขวางขึ้น และสามารถสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศได้อีกด้วย

ทุกอุปสรรคและความท้าทาย หล่อหลอมความแข็งแกร่ง

ผ่านความท้าทายในการสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อภารกิจการเข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งปิโตรเลียมมาแล้ว ปตท.สผ. ยังเผชิญกับความท้าทายอื่น ๆ อีกหลายช่วงเวลา เช่นในช่วงปี 2558-2559 เกิดสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกตกต่ำ และดิ่งลงเหลือประมาณ 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของบริษัทน้ำมันทั่วโลกอย่างมาก เพราะต้นทุนในการดำเนินงานในขณะนั้นสูงกว่าราคาน้ำมัน บริษัทน้ำมันทั่วโลกหลายบริษัทปิดตัวลง ขายกิจการ เลิกจ้างงาน เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปตท.สผ. เองก็ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดในสถานการณ์วิกฤตินี้ ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และลดค่าใช้จ่ายที่สามารถทำได้ เพื่อที่จะรักษาองค์กรและพนักงานไว้ให้ได้ในช่วงเวลาท้าทายนี้ ความรอบคอบ การปรับตัว รุกในเวลาที่ถูก ถอยในเวลาที่ควร ทำให้ผ่านพ้นสถานการณ์นั้นมาได้

อีกหนึ่งความท้าทายที่ทำให้ ปตท.สผ. ได้พิสูจน์บทบาทในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ คือช่วงที่แหล่งเอราวัณในอ่าวไทยหมดอายุสัมปทานลง และรัฐได้เปิดประมูลใหม่ด้วยชื่อแปลง G1/61 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ปตท.สผ. ได้ชนะการประมูลครั้งนั้น และจะต้องเข้าเป็นผู้ดำเนินการต่อจากผู้ดำเนินการเดิมในเดือนเมษายน 2565 ในวันที่รับไม้ต่อนั้น ปริมาณการผลิตก๊าซฯ ของแหล่งเอราวัณ ลดเหลืออยู่ที่ราว 370 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในขณะที่อัตราการผลิตก๊าซฯ ตามสัญญาฯ ใหม่นั้น คือที่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทำให้ประเทศต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เข้ามาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซฯ ที่หายไป ซึ่งราคาแอลเอ็นจีในช่วงเวลานั้นมีราคาสูง จึงส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปตท.สผ. จึงต้องเร่งเพิ่มกำลังผลิตก๊าซฯ ในแหล่งเอราวัณให้ได้ถึง 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันให้เร็วที่สุด เพื่อลดการนำเข้าแอลเอ็นจี เรียกได้ว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่ท้าทาย เพราะการเพิ่มกำลังผลิตให้ขึ้นถึงอัตราดังกล่าวนั้น ต้องใช้เวลา ต้องระดมสรรพกำลังทุกด้าน เร่งรัดการทำงานทุกขั้นตอน ซึ่ง ปตท.สผ. ได้พยายามอย่างเต็มความสามารถ จนสามารถเพิ่มการผลิตก๊าซฯ ได้ถึงระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามสัญญาฯ ในปี 2567 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบราคาพลังงาน และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แข็งแกร่งขึ้น

คุณค่าที่มากกว่าของก๊าซธรรมชาติ

ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น ภาคการผลิตและอุตสาหกรรม การขนส่งและคมนาคม การสื่อสารโทรคมนาคม การพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการใช้ในชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว ยังเป็นทรัพยากรที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกนานัปการ เนื่องจากมีองค์ประกอบที่สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ ซึ่งจะทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ที่เพิ่มขึ้น

อุตสาหกรรมปิโตรเลียมยังเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับรัฐเป็นอันดับต้น ๆ จากค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ส่วนแบ่งกำไรจากระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต เงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ รายได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และรายได้อื่น ๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น สาธารณูปโภค การพัฒนาชุมชน การศึกษา สาธารณสุข ซึ่งนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจนถึงปี 2567 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ดังกล่าวให้กับรัฐกว่า 891,000 ล้านบาท

40 ปี “พลังของพลัง” พลังของเราเพื่อพลังของประเทศและคนไทย

ผ่านมา 4 ทศวรรษ ปตท.สผ. เติบโตจากประเทศไทย ขยายไปสู่ต่างประเทศกว่า 50 โครงการ ใน 12 ประเทศ เช่น มาเลเซีย เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน แอลจีเรีย โมซัมบิก อัตราการผลิตปิโตรเลียมในปีแรกของ ปตท.สผ. อยู่ที่ประมาณ 5,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณน้ำมันดิบที่ ปตท.สผ. ได้รับตามสัดส่วนการเข้าร่วมทุนในโครงการเอส 1 กับบริษัท ไทยเชลล์ แต่วันนี้อัตราการผลิตปิโตรเลียมเติบโตมาอยู่ที่ประมาณ 700,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันจากทุกโครงการทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับก๊าซธรรมชาติซึ่ง ปตท.สผ. ผลิตได้ในประเทศไทย คิดเป็น 82% ของปริมาณก๊าซธรรมชาติทั้งหมดที่ผลิตได้ในประเทศ ส่วนใหญ่มาจากแหล่งเอราวัณ (แปลง G1/61) แหล่งบงกช (แปลง G2/61) และแหล่งอาทิตย์ ในอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิต การขนส่งและคมนาคม โทรคมนาคม เทคโนโลยี สาธารณสุข การศึกษา และอื่น ๆ ไปจนถึงการใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชน

การเป็นผู้ดำเนินการในแหล่งก๊าซฯ ซึ่งเป็นเสมือนขุมพลังของประเทศนั้น เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของ ปตท.สผ. ที่ได้ทำหน้าที่เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศและคนไทย ดังเจตนารมณ์ของการก่อตั้งบริษัทเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

ก้าวต่อไปของ ปตท.สผ. ยังคงเดินหน้าบนเส้นทางของการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไปพร้อมกับการผลิตพลังงานให้สะอาดมากขึ้น ด้วยการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติสะอาดมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกป่าอีกกว่า 2 แสนไร่ นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจศึกษาการพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ในอนาคต เพื่อความยั่งยืนด้านพลังงาน

ปตท.สผ. ยังมีโครงการและกิจกรรมส่งเสริมสังคม ชุมชนและดูแลสิ่งแวดล้อมหลายด้าน เช่น โครงการ “ทะเลเพื่อชีวิต” (Ocean for Life) เพื่อช่วยเสริมสร้างความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล สร้างรายได้ และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน 17 จังหวัดรอบอ่าวไทย รวมทั้งมีกิจกรรมและโครงการที่ส่งเสริมความต้องการพื้นฐาน การศึกษา สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม เพื่อให้ชุมชนรอบบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการต่าง ๆ ของบริษัท มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเติบโตไปด้วยกันกับบริษัท

ระยะเวลา 40 ปี ถ้าเปรียบเทียบกับหน้าประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมพลังงานโลก แม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่สำหรับประเทศไทย การที่เราสามารถสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเองได้ พึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้ ถือเป็นอีกส่วนสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์พลังงานไทยในยุคโชติช่วงชัชวาล ซึ่งมีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า ทดแทนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ อันเป็นรากฐานที่แข็งแรงของการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ภารกิจของ ปตท.สผ. จึงเปรียบเสมือน พลังของพลัง ที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศ และเป็นพลังให้กับคนไทยทุกคนในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำภารกิจ ทำตามเป้าหมาย ซึ่งพลังเหล่านั้น ได้กลับมาเป็นพลังให้ ปตท.สผ. ไม่หยุดที่จะทำหน้าที่ในการแสวงหาพลังงานอย่างเข้มแข็งและมั่นคงต่อไป

Advertisment