คาดเอกชนลดราคาขายไฟฟ้าสะอาด 2,100 MW สอดคล้องต้นทุน กฟผ.

104
- Advertisment-

“พลังงาน” ขอความร่วมมือให้เอกชนลดราคาขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด จำนวน 2,100 เมกะวัตต์ให้สอดคล้องกับต้นทุนที่ กฟผ.ดำเนินการ พร้อมเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่  PDP 2025  ที่ตอบโจทย์ Net Zero 2050 มั่นใจไม่กระทบค่าไฟฟ้าในภาพรวม

นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า  จากความกังวลเกี่ยวกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด จำนวน 2,100 MW นั้น กระทรวงพลังงานขอยืนยันว่า การรับซื้อไฟฟ้าเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งได้มีการตั้งคณะทำงานตรวจสอบกระบวนการพิจารณา โดยมี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกรมบัญชีกลางซึ่งผลการตรวจสอบพบว่าดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนการเปรียบเทียบราคารับซื้อไฟฟ้าของภาคเอกชนนั้น การพิจารณาจะต้องรวมถึงการซื้อหรือเช่าที่ดิน และต้องมีการเดินสายส่งเชื่อมต่อเข้าไปด้วย นอกจากนี้ ดอกเบี้ยและต้นทุนต่างๆ ของเอกชน จะสูงกว่าของ กฟผ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่เล็กน้อย ทั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้คำนวณอัตราค่าไฟฟ้า หากต้องดำเนินการลักษณะเดียวกับภาคเอกชนแล้ว ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 2.19 บาทต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม และ 4.37 บาทต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลม นอกจากนั้น กพช. ได้มีมติ ให้ กกพ. และ กฟผ. ขอความร่วมมือให้เอกชนลดราคาขายไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะได้รับความร่วมมือจากเอกชนทุกราย ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน มีแผนที่จะให้ กฟผ. สร้างโซลาร์ลอยน้ำเพิ่มเติมอีกกว่า 2,600 MW และ มีโอกาสที่จะขยายเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับแผน PDP 2025 ที่กำลังจัดทำอยู่

- Advertisment -

สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มชุมชน จำนวน 1,500 MW ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลนั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน นอกจากนั้น ยังสามารถลดค่าไฟฟ้าให้ชุมชนในพื้นที่ได้ 40 – 80 สตางค์ต่อหน่วย โดยคาดว่าจะมีอัตรารับซื้อไฟฟ้า ที่ประมาณ 2.16 – 2.20 บาทต่อหน่วย และโครงการดังกล่าวยังสามารถสร้างเม็ดเงินลงทุนให้กับประเทศกว่า 30,000 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด และ โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มชุมชน จะช่วยลดการนำเข้า LNG ได้ประมาณ 7.2 แสนตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาทต่อปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ GHG Emission ได้ประมาณ 2.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทำให้ประเทศสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย Net Zero 2050

Advertisment