IRPC เดินหน้าบริหารความเสี่ยงรอบด้าน โดยขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียง และปรับพอร์ตการส่งออกให้มีความยืดหยุ่น รองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้า เน้นการเพิ่มสัดส่วนการขายในประเทศ “Domestic First” พร้อมบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความร่วมมือกับลูกค้าและคู่ค้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ
นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา และนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ IRPC เดินหน้าบริหารความเสี่ยงรอบด้าน โดยขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียง และปรับพอร์ตการส่งออกให้มีความยืดหยุ่น รองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้า เน้นการเพิ่มสัดส่วนการขายในประเทศ “Domestic First” พร้อมบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความร่วมมือกับลูกค้าและคู่ค้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ
บริษัทฯ มุ่งยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการเพิ่มมูลค่าในกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ควบคู่กับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของบริษัทฯ อาทิ ท่าเรือและที่ดิน เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง และเสริมความแข็งแกร่งทางการแข่งขันในระยะยาว โดยการยกระดับศักยภาพการแข่งขันในทุกมิติ ทั้งด้านนวัตกรรมกระบวนการผลิต และการบริหารจัดการ *กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียม* IRPC เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 จากหน่วยกลั่น Ultra Clean Fuel (UCF) เพื่อรองรับความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการขานรับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยเพิ่มรายได้และความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ *กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี* IRPC เดินหน้ายกระดับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีด้วยเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน (Polypropylene: PP) ชนิดปราศจากสารทาเลต (Phthalate-Free) ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางอย่างเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์ ภายใต้แบรนด์ “POLIMAXX” สำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร เครื่องมือแพทย์ และสิ่งทอเพื่อสุขอนามัย นอกจากนี้ IRPC ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ UHMWPE (Ultra-High Molecular Weight Polyethylene) ที่มีความแข็งแรง ทนทานสูง พร้อมตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ และด้านการบริหารทรัพย์สิน IRPC ได้วางกลยุทธ์ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเฉพาะที่ดินและท่าเรือน้ำลึกให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว นายเทอดเกียรติ กล่าวต่อไปว่า IRPC ยังคงเดินหน้าสร้างรากฐานการเติบโต ควบคู่กับการบริหารกระแสเงินสดอย่างรอบคอบ และพัฒนาองค์กรให้พร้อมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ท่ามกลางความขัดแย้งและสงครามระหว่างประเทศ สงครามการค้าโลก ราคาพลังงานที่ผันผวน
โดยไตรมาส 2/2568 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2568 : ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 56,802 ล้านบาท ลดลง 5,422 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 10 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ขณะที่ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล นอกจากนี้ ธุรกิจปิโตรเคมี มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (Market Product to Feed: Market PTF) ที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในกลุ่มโอเลฟินส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 5,219 ล้านบาท หรือ 8.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากไตรมาส 1/2568 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 2/2568 มีความผันผวนจากปัจจัยหลายประการ โดยปัจจัยที่กดดันราคานั้น มีสาเหตุหลักมาจากมาตรการด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้า และการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตโดยสมัครใจของโอเปกและพันธมิตร แม้ว่ามีปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันดิบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน ทำให้เกิดการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 2,503 ล้านบาท หรือ 4.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ บริษัทฯ บันทึกการกลับรายการ ปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่ได้รับ (กลับรายการ NRV) 343 ล้านบาท หรือ 0.55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง (Realized Oil Hedging) 141 ล้านบาท หรือ 0.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากรายการดังกล่าว บริษัทฯ บันทึก Net Inventory Loss รวม 2,019 ล้านบาท หรือ 3.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 3,200 ล้านบาท หรือ 5.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 จึงทำให้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 223 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 86 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ บันทึกต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน อีกทั้ง ยังมีการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมัน 250 ล้านบาท เนื่องจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 ที่มี ผลกำไร 170 ล้านบาท จากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท มากกว่าไตรมาส 1/2568 ที่ร้อยละ 77
*แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบและตลาดปิโตรเคมี ในไตรมาส 3/2568*
*สถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบ*คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะมีปัจจัยสนับสนุนตามฤดูกาลจากการเดินทางในช่วงฤดูร้อนของประเทศแถบทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป รวมถึงการผลิตไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดน้ำมันดิบจะมีปัจจัยกดดันหลักจากมาตรการทางด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้า รวมถึงการปรับเพิ่มการผลิตของโอเปกพลัส ทั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ จะยังคงสร้างความไม่แน่นอนในตลาดน้ำมันดิบ
*สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมี* ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าและการส่งออกสินค้าปิโตรเคมีในหลายประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและอาจจำกัดความต้องการซื้อ จากทั้งผู้ซื้อเม็ดพลาสติกและผู้ผลิตสินค้าปลายทาง ขณะเดียวกันด้านอุปทานยังคงได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากจีนอาจส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยรวมมีแนวโน้มอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนวัตถุดิบก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับลดลงด้วย หลังจากโอเปกพลัสประกาศเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนสิงหาคม ประกอบกับได้รับแรงสนับสนุนบางส่วนจากการเข้าสู่ช่วงฤดูการผลิตของธุรกิจปิโตรเคมี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับกลุ่ม ปตท. สนับสนุนน้ำดื่ม IRPC ให้แก่ผู้ประสบเหตุความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของบริษัทฯ และกลุ่ม ปตท. ในการเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความเดือดร้อนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมและชุมชนในยามวิกฤต