ทางออกปัญหาความมั่นคงไฟฟ้าไทยหลังไฟฟ้าดับจากเหตุโรงไฟฟ้าไซยะบุรีหลุดออกจากระบบ

420
- Advertisment-

จากกรณีเกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป.ลาว ขนาดกว่า 1,200 เมกะวัตต์ หลุดออกจากระบบกะทันหัน เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 ส่งผลให้ความถี่ไฟฟ้าในระบบลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้โรงไฟฟ้าหลายแห่งในไทยและ สปป.ลาว ต้องหยุดทำงานชั่วคราว ส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับในบางพื้นที่รวมกว่า 240 เมกะวัตต์  ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับความมั่นคงไฟฟ้าของประเทศไทย เหตุใดเหตุการณ์ในลักษณะนี้จึงเกิดขึ้นได้อีกในรอบไม่กี่ปี ใครต้องรับผิดชอบ และภาครัฐจะมีแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีกได้อย่างไร 

เพราะถ้ายังจำกันได้ เหตุการณ์ในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลโวลต์ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสา สปป.ลาว โดนฟ้าผ่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน  2561 ส่งผลให้กำลังผลิตไฟฟ้า 1,300 เมกะวัตต์ ที่ต้องส่งเข้าระบบไฟฟ้าของไทยหายไปทันที และความถี่ของระบบไฟฟ้าลดต่ำลงจากมาตรฐานปกติที่ 50 เฮิร์ท แต่ระหว่างที่ระบบตอบสนองความถี่อัตโนมัติกำลังทำงานเพื่อรักษาระบบอยู่นั้น โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) จำนวน 37 ราย ก็ปลดเครื่องผลิตไฟฟ้า ดีดตัวเองออกจากระบบทั้งที่ไม่ถึงเกณฑ์ความถี่ของระบบไฟฟ้าขั้นต่ำที่กำหนดไว้ ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าเสียกำลังผลิตไปอีก 2,516 เมกะวัตต์ และเกิดไฟฟ้าดับทั้งในภาคเหนือ กลาง และอีสาน กว่า 30 จังหวัด

กรณีล่าสุดของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีนั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ สำนักงาน กกพ. ได้ออกมาชี้แจงถึงสาเหตุว่า เกิดจากโรงไฟฟ้าบางแห่งมีการตั้งค่าอุปกรณ์ป้องกันของโรงไฟฟ้าไม่สอดคล้องกับข้อกำหนด Grid Code ของการไฟฟ้า และหลุดออกจากระบบก่อนเวลาที่ควรจะเป็น ซึ่งการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ระบบสามารถกลับมาจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ตามปกตินั้น ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ได้สั่งการให้เขื่อนหลักทั่วประเทศ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนรัชชประภา และโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง พร้อมประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน. ) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ. ) นำโหลดกลับเข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้เวลา 6-35 นาที นับตั้งแต่ไฟฟ้าดับ ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ 

- Advertisment -

ผู้รู้ในวงการไฟฟ้าอธิบายว่า ปกติมาตรฐานความมั่นคงไฟฟ้าของไทยถูกออกแบบไว้ให้รองรับ Criteria N-1 หมายถึงหากมีโรงไฟฟ้าใดหลุดออกจากระบบไป 1 โรง ระบบก็ยังสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตามปกติ ไม่มีปัญหาไฟฟ้าดับ เพราะต้องมีการเตรียมกำลังผลิตสำรองทันทีทันใด (Spinning Reserve) ที่มีขนาดเท่ากับโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในระบบเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีกำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ ดังนั้น Spinning Reserve  ที่เตรียมไว้ได้ก็คือ 800 เมกะวัตต์  แต่ในกรณีของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีหายไปจากถึงระบบ 1,200 เมกะวัตต์ ทำให้มี Spinning Reserve ไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งปี 2561 ถูกถอดบทเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมาวางแนวทางป้องกันและปรับปรุงมาตรฐาน Grid Code ของการไฟฟ้ากันใหม่ ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกในปี 68 เกิดผลกระทบที่น้อยลงกว่าเดิมมากคือไฟฟ้าที่เคยดับไป 2 พันกว่าเมกะวัตต์ ลดเหลือ 200 กว่าเมกะวัตต์  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถที่จะการันตีได้ 100% ว่า เหตุการณ์ไฟฟ้าดับในลักษณะเดียวกันนี้จะไม่เกิดซ้ำรอยขึ้นอีก เพราะการเพิ่มสัดส่วนที่มากขึ้นของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ VSPP รวมทั้งผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง หรือ Independent Power Supply (IPS)  ที่ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติยังไม่มีการรายงานหรือเครื่องมือที่จะช่วยให้สามารถมองเห็นได้ทั้งระบบ แต่ต้องมีบทบาทช่วยดูแลความมั่นคงไฟฟ้าของทั้งระบบ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ฝ่ายนโยบายและหน่วยงานกำกับดูแลที่มองเห็นความสำคัญของความมั่นคงด้านไฟฟ้าของประเทศ ต้องช่วยกันหาทางออก 

สอดคล้องกับสำนักงาน กกพ. ที่มองเหตุการณ์ไฟฟ้าดับจากเหตุโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีหลุดออกจากระบบครั้งนี้ว่า เป็นบทเรียนสำคัญ แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงาน กกพ. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. จะมีแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังต้องเดินหน้าปรับปรุงมาตรการป้องกันอย่างต่อเนื่อง โดยให้โรงไฟฟ้าทุกแห่งปรับปรุงการตั้งค่าให้ถูกต้องตามมาตรฐาน Grid Code ที่กำหนดไว้เพื่อเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบป้องกัน และเข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรฐานความมั่นคงของระบบไฟฟ้าอย่างเคร่งครัด

ในขณะที่ฝ่ายผู้กำหนดนโยบายคือ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ที่กำลังพิจารณาจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ  PDP ฉบับใหม่ ซึ่งตั้งโจทย์เรื่องความมั่นคงไฟฟ้า หรือ Energy Security เป็นหนึ่งใน Energy Trilemma ที่สำคัญ ก็ถึงเวลาที่ต้องทบทวนสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เป็นโรงไฟฟ้าหลักของ กฟผ. ซึ่งมีบทบาทในการรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้ากันใหม่ ว่าควรจะต้องมีสัดส่วนมากน้อยแค่ไหน  เพราะทั้งกรณีโรงไฟฟ้าหงสา เมื่อปี 2561 และโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีในปี 2568 นั้นเห็นได้ชัดถึงบทบาทของโรงไฟฟ้าหลักของ กฟผ. และโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนต่าง ๆ ของ กฟผ. ว่ามีส่วนช่วยรักษาความมั่นคงของระบบเอาไว้อย่างมีนัยสำคัญ และตอบสนองข้อสั่งการของภาครัฐได้อย่างทันการณ์ ขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนหลายรายต่างดีดตัวออกจากระบบไปก่อน ทั้ง ๆ ที่ค่าความถี่ในระบบสายส่งที่ปรับลดลงมายังเป็นไปตามมาตรฐาน เพราะกลัวว่าโรงไฟฟ้าของตัวเองจะได้รับความเสียหาย บทความชิ้นนี้จึงอยากทิ้งไว้เป็นประเด็นให้ถกเถียงกันต่อ 

Advertisment