จากทิศทางการเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมยานยนต์มาสู่ยานยนต์ไฟฟ้า และนโยบายภาครัฐในการขับเคลื่อนรถสาธารณะให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการปล่อยมลพิษและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด พบว่าจำนวนรถแท็กซี่ไฟฟ้า EV Taxi ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย (เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567) ระบุว่าแม้ปริมาณแท็กซี่สะสมในกรุงเทพฯ จะทยอยลดลงหลังการมาของโครงข่ายรถไฟฟ้าที่ทำให้ผู้คนเดินทางสะดวกมากขึ้น กลับพบว่าปริมาณแท็กซี่ไฟฟ้า (BEV – Battery Electric Vehicle) บนท้องถนนมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น แม้จะยังมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งตลาด (ยอดจดทะเบียนแท็กซี่ไฟฟ้า สะสมอยู่ที่ 1,211 คัน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 จากทั้งตลาดที่ 75,184 คัน) ซึ่งในปี 2567 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการซื้อแท็กซี่ใหม่ เพื่อทดแทนคันเก่าที่หมดอายุในพื้นที่กรุงเทพฯ น่าจะมีจำนวนแท็กซี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยอาจมีส่วนแบ่งสูงถึง 49% ของตลาดแท็กซี่ป้ายแดงที่คาดว่าจะมีทั้งหมดราว 3,300 คัน ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของแท็กซี่ที่ใช้พลังงานขับเคลื่อนรูปแบบอื่น เช่น น้ำมัน แก๊ส LPG และแก๊ส NGV รวมกันลดเหลือเพียง 51% จากเดิมอยู่ที่ 86% ในปี 2566

การใช้แท็กซี่ไฟฟ้ายังได้รับการส่งเสริมจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ได้จัดทำโครงการ MRTA Taxi EV by MRTA Parking Application (sPark EV Terminal App) โดยจับมือกับพันธมิตร บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVme) ในการให้บริการรถแท็กซี่ไฟฟ้าผ่านแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน MRTA Parking โดยแอปพลิเคชันจะตรวจหารถแท็กซี่ไฟฟ้าที่ลงทะเบียนไว้กับ EVme ในระยะ 500 เมตร และผู้โดยสารสามารถเรียกรถและระบุจุดรับ-ส่ง ได้ที่อาคารและลานจอดรถ รวมถึงสถานีรถไฟฟ้าที่กำหนดเป็นจุดให้บริการ MRTA Taxi EV จำนวน 11 สถานี ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง น้ำเงิน และเขียว

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยและการสนับสนุนการใช้แท็กซี่ไฟฟ้าโดยหน่วยงานภาครัฐ สะท้อนให้เห็นทิศทางการเปลี่ยนผ่านจากแท็กซี่ NGV LPG และน้ำมัน สู่แท็กซี่ไฟฟ้า ปตท. เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสนับสนุนกลุ่มผู้ขับแท็กซี่ซึ่งเริ่มเปลี่ยนผ่านจากพลังงาน NGV สู่ พลังงานไฟฟ้า มุ่งผลักดันการให้บริการพลังงานสะอาดอย่างครบวงจร พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการส่งเสริมและขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าในพื้นที่ชุมชนเมือง รวมถึงการเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนมาใช้รถแท็กซี่ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ปตท. จึงได้ปรับรูปแบบสถานีบริการ NGV เดิม ด้วยการติดตั้ง EV Charger เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นระบบ โดยเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีการเปิดสถานีชาร์จรถแท็กซี่ไฟฟ้า (EV Taxi Hub) ณ สถานีบริการ NGV วินเนอร์ยี่ (ไทยแลนด์) สาขากิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ

การติดตั้ง EV Charger ภายในสถานีบริการ NGV วินเนอร์ยี่ (ไทยแลนด์) สาขากิ่งแก้ว ภายใต้แบรนด์ Wincharge เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจร่วมกันของหลายภาคส่วน ทั้งจากสมาคมการค้าเครือข่ายแท็กซี่ไทย ที่ร่วมผลักดันการพัฒนาเครือข่ายสถานี EV ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจผ่านกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้ประกอบการ ผู้ขับขี่รถแท็กซีในเครือข่าย ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้งานรถแท็กซี่ไฟฟ้า และจาก EVme ที่ร่วมให้ข้อมูลสาระความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการ และผู้ใช้งานแท็กซี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาระบบนิเวศของรถแท็กซี่ไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบัน สถานีบริการ NGV วินเนอร์ยี่ (ไทยแลนด์) สาขากิ่งแก้ว มี EV Charger ให้บริการถึง 24 หัวชาร์จ พร้อมให้บริการในสถานีเดียว และนับเป็นหนึ่งใน EV Charger ที่ชาร์จเร็วที่สุดของประเทศในขณะนี้ นอกจากนั้น สถานีบริการ NGV วินเนอร์ยี่ ยังมีแนวโน้มจะขยายหัวชาร์จเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากได้วางโครงสร้างพื้นฐานไว้ให้สามารถติดตั้งได้ถึง 36 หัวจ่าย โดยผู้บริหารสถานีเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าคาดว่าในอนาคตช่วงปีนี้ มีแท็กซี่ที่รอเปลี่ยนใหม่เป็นแท็กซี่ไฟฟ้าอีกราว 20,000 คัน


–
ปัจจุบัน ปตท. ได้ดำเนินการเปิดสถานี EV ในสถานีบริการ NGV แล้วกว่า 16 สถานี และหากรวมกับสถานี EV ที่กลุ่ม ปตท. ลงทุน ปัจจุบันมีสถานี EV ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลแล้วจำนวน 330 สถานี โดยการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดมลพิษในเมือง เพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทาง และลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบอาชีพแท็กซี่ ที่สำคัญ ยังเป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนการพัฒนาระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) และส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดที่ไม่ปล่อยมลพิษเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้วย