REC vs Carbon Credit ต่างกันอย่างไร สรุปครบ – เข้าใจง่าย – พร้อมตัวอย่างจริง

240
- Advertisment-

ธุรกิจยุคใหม่กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทั้งจากผู้บริโภค นักลงทุน และหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลให้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate) หรือ REC และคาร์บอนเครดิต Carbon Credit ซึ่งเป็นสิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

วันนี้จะมาถอดรหัสความแตกต่างของเครื่องมือทั้งสองนี้ในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดที่สอดคล้องไปกับนโยบายด้านพลังงานของประเทศที่มุ่งสู่การเป็นสังคมเศรษฐกิจแบบ Net Zero

REC (Renewable Energy Certificate) คือ ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน ที่ยืนยันว่าไฟฟ้า 1 หน่วย (เมกะวัตต์ชั่วโมง-MWh) ถูกผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน อาทิ แสงอาทิตย์ ลม น้ำ ชีวมวล  โดย REC เป็นกลไกที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถ “อ้างสิทธิ์”(Claim) ในการใช้พลังงานสะอาด แม้ไฟฟ้าที่ใช้จริงจะผสมอยู่ในสายส่งเดียวกับไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลก็ตาม จุดประสงค์ เพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด ช่วยให้องค์กรสามารถอ้างสิทธิ์ได้ว่าใช้ไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน การนำไปใช้งาน ใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้ไฟฟ้า ในขอบเขตที่ 2 หรือเรียกว่า Scope 2 Emission

- Advertisment -

กรณีตัวอย่างการใช้งาน

– ธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่มีโรงงานผลิตใช้พลังงานจำนวนมาก นิยมซื้อ REC เพื่อรายงานต่อบริษัทแม่ในต่างประเทศ

– บริษัทโลจิสติกส์ขนาดกลางใช้ REC แทนการลงทุนโรงไฟฟ้าเองเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

– ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีการใช้พลังงานสูงอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง นิยมใช้ REC เพื่อยืนยันว่าใช้พลังงานสะอาดและตอบสนองต่อข้อกำหนดของลูกค้าระดับโลก

Carbon Credits คาร์บอนเครดิต เป็นสิทธิที่แสดงถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงหรือถูกกักเก็บไว้ได้ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) จากโครงการต่างๆ จุดประสงค์ เพื่อ “ชดเชย”(Offsetting) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรไม่สามารถลดได้เอง โดยการสนับสนุนโครงการที่ช่วยลดหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจก การนำไปใช้งาน ใช้เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งจากกิจกรรมโดยตรงขององค์กร อาทิ การใช้เชื้อเพลิงในโรงงาน และการปล่อยก๊าซทางอ้อม รวมถึงจากการใช้ไฟฟ้าและจากห่วงโซ่อุปทานอื่นๆ โดยครอบคลุม Scope 1, 2 และ 3 Emissions

กรณีตัวอย่างการใช้งาน

– โรงงานอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ซึ่งปล่อยคาร์บอนสูง ใช้ Carbon Credit ชดเชยการปล่อย

– ธุรกิจส่งออกที่ต้องเผชิญกับ CBAM ของ EU ใช้ Carbon Credit จากโครงการภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบ

อย่างไรก็ดี แม้ทั้ง 2 เครื่องมือมีข้อแตกต่าง แต่ก็มีเป้าหมายเดียวกันในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และยังมีความสำคัญและประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ ในแง่ที่คล้ายกันหลายประการ อาทิ สร้างทางเลือกให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจ กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและพัฒนาในด้านโครงการพลังงานสะอาดมากขึ้น ช่วยสร้างภาพลักษณ์เป็นองค์กรทันสมัยใส่ใจสิ่งแวดล้อม  อีกทั้งยังเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการการค้าสากล เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเพราะธุรกิจอาจต้องเผชิญกับมาตรฐานคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้น เช่นมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป

จะเห็นได้ว่า การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก REC และ Carbon Credit ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือโอกาสสำคัญที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งอยู่ในบริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 
บริษัท อินโนพาวเวอร์ พร้อมเป็น “พันธมิตรพิชิตคาร์บอน” ด้วยบทบาทเชื่อมโยงธุรกิจและประชาชนเข้ากับโลกของพลังงานหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม ในปี 2567 ที่ผ่านมา อินโนพาวเวอร์ ยังคงเป็นผู้ให้บริการ REC รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยบริการซื้อ-ขายแบบครบวงจร พร้อมทั้งขยายบริการด้าน Carbon Credit เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุก Scope ซึ่งถือเป็น “ทางลัด” สำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero ที่จับต้องได้และยั่งยืน

กลยุทธ์ที่แนะนำ : สามารถใช้ REC และ Carbon Credit ควบคู่

การใช้ REC และ Carbon Credit ร่วมกันจะช่วยบริหารจัดการคาร์บอนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

• “REC” เหมาะสำหรับหน่วยงานหรือกิจกรรมที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง เช่น โรงงานผลิต คลังสินค้า หรือศูนย์ข้อมูล (Data Center) โดยช่วยลด Scope 2 Emission ได้อย่างรวดเร็ว

• “Carbon Credit” เหมาะสำหรับการชดเชยคาร์บอนจากกิจกรรมที่ลดได้ยาก เช่น การขนส่ง การเดินทางของบุคลากร หรือวัตถุดิบที่มาจากห่วงโซ่อุปทาน upstream โดยสามารถครอบคลุมการชดเชยได้ถึง Scope 1, 2 และ 3

ตัวอย่าง การใช้ทั้ง REC และ Carbon Credit ควบคู่กัน คือ ธุรกิจโรงแรมที่ต้องการยกระดับสู่การเป็น “โรงแรมสีเขียว” โดยเลือกซื้อ REC เพื่ออ้างสิทธิ์ว่าใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดทั้งหมด ช่วยลด Scope 2 จากการใช้พลังงานในระบบแสงสว่าง เครื่องปรับอากาศ และลิฟต์ ขณะเดียวกันก็ใช้ Carbon Credit เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนใน Scope 1 และ 3 จากกิจกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การขนส่งแขก ขยะอินทรีย์ หรือการเดินทางของพนักงาน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว โรงแรมสามารถยื่นขอการรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น LEED หรือ Green Globe ได้ และยังตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าองค์กรต่างชาติที่มีกฎเกณฑ์ด้าน Sustainable Procurement Policy ชัดเจน ส่งผลให้โรงแรมมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ในทางปฏิบัติ ธุรกิจยุคใหม่จึงพิจารณาใช้ทั้ง REC และ Carbon Credit ร่วมกัน เพื่อบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และตอบสนองต่อความคาดหวังด้าน ESG ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในโลกธุรกิจปัจจุบัน

Advertisment