ผู้ใช้รถแทบทุกคนทราบดีว่าราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการมีการปรับเปลี่ยนขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา โดยการประกาศปรับแต่ละครั้ง ผู้ค้าน้ำมันจะอ้างอิงจากราคาน้ำมันที่ซื้อขายกันในตลาดโลกเป็นหลัก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ ทั้งตะวันออกกลางและเอเชียแปซิฟิก มากถึงประมาณ 80-85% ของความต้องการใช้ในประเทศ เพื่อมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปจำหน่ายให้กับผู้บริโภค เพราะแหล่งน้ำมันดิบที่มีอยู่ในไทยสามารถผลิตน้ำมันสำเร็จรูปได้เพียง 15-20% ของความต้องการใช้เท่านั้น การปรับราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการ จึงเป็นกลไกสะท้อนถึงราคาน้ำมันดิบที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงพอต่อความต้องการใช้งานในประเทศ
และเนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้าสากล (Global Commodity) ราคาที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดกลางระดับโลก จึงถูกนำมาใช้เป็นราคาอ้างอิงในการกำหนดราคาขายในประเทศ โดยมีปัจจัยด้านอุปสงค์ อุปทาน และปัจจัยอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน เป็นกลไกในการกำหนดทิศทางของราคา โดยหลักแล้วน้ำมันดิบอ้างอิงที่สำคัญของโลก มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ น้ำมันดิบ Dubai ซึ่งเป็นน้ำมันดิบจากแหล่งตะวันออกกลาง น้ำมันดิบ Brent ซึ่งมีแหล่งผลิตอยู่ในทะเลเหนือ ระหว่างเกาะอังกฤษและคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย และ น้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นน้ำมันดิบอ้างอิงที่สำคัญในในทวีปอเมริกา
ส่วนตลาดกลางซื้อขายน้ำมันที่มักใช้เป็นแหล่งอ้างอิงราคา มีอยู่ 3 แห่งหลักๆ เช่นกัน ได้แก่ ตลาดนิวยอร์ก หรือ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ซึ่งถือว่าเป็นตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่สำคัญที่สุดสำหรับทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป โดยราคาสะท้อนความต้องการในอเมริกาเหนือเป็นหลัก ตลาดลอนดอน หรือ ICE (Intercontinental Exchange) ศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในยุโรปที่ราคาจะสะท้อนความต้องการในยุโรป แอฟริกา และบางส่วนของเอเชีย และ ตลาดสิงคโปร์ หรือ SIMEX (Singapore International Monetary Exchange) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในภูมิภาคเอเชียที่มีปริมาณการซื้อขายที่สูงและสะท้อนภาวะอุปสงค์และอุปทานของตลาดในภูมิภาคเอเชียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับประเทศไทยและหลายๆ ประเทศในเอเชีย ต่างใช้ราคาตลาดสิงคโปร์เป็นตัวอ้างอิง ทั้งในการเจรจาซื้อ-ขาย ระหว่างประเทศ และใช้เป็นฐานการคำนวณต้นทุนราคาภายในประเทศ เนื่องจากราคาเป็นที่ยอมรับในวงกว้างและมีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ ส่วนการที่ราคาขายปลีกน้ำมันของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันนั้น ขึ้นอยู่กับระบบการจัดเก็บภาษีหรือการจ่ายเงินอุดหนุนของแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทย โครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกประกอบด้วย ราคาเนื้อน้ำมันสูงถึง 60-70% ดังนั้น หากราคาเนื้อน้ำมันที่อ้างอิงตามราคาตลาดโลกเพิ่มขึ้น ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากราคาตลาดโลกลดลง ราคาขายปลีกในประเทศก็จะปรับลดลงตามไปด้วยในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม อาจมีคำถามว่า ถ้าไทยไม่อ้างอิงราคาน้ำมันสากลแต่กำหนดราคาเองให้ต่ำกว่าตลาดโลกได้หรือไม่? คำตอบคือ หากทำเช่นนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือผู้นำเข้าอาจจะไม่อยากนำเข้าน้ำมัน ขณะที่โรงกลั่นก็ขาดแรงจูงใจในการลงทุนและผลิตน้ำมันเพราะจะขาดทุน การนำเข้าน้ำมันก็จะลดลงและมีไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ ขณะเดียวกันการอุดหนุนราคาน้ำมันก็เป็นภาระทางการเงินของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อตัวเลขหนี้สาธารณะ และอาจทำให้เกิดการส่งออกน้ำมันและการลักลอบส่งออกไปขายต่างประเทศเพราะได้ราคาสูงกว่า นำไปสู่ปัญหาขาดแคลนน้ำมันภายในประเทศและปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ ตามมา
ในทางกลับกัน หากไทยกำหนดราคาน้ำมันให้สูงกว่าตลาดโลก ก็จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และกำลังซื้อของประชาชนลดลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้ขาดความสามารถในการแข่งขัน และรัฐบาลอาจต้องใช้มาตรการแทรกแซงในการอุดหนุนราคาน้ำมัน เช่น การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จะกระทบต่อรายได้ของรัฐ นอกจากนี้จะเกิดการนำเข้าน้ำมันจากประเทศที่มีราคาถูกกว่ามากขึ้น ตลอดจนการลักลอบนำเข้า ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียเงินตราต่างประเทศ นำไปสู่การขาดดุลการค้า และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในที่สุด
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเชื่อมโยงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศกับราคาสากล โดยอ้างอิงราคาของตลาดกลางที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อความถูกต้องในการพิจารณาราคาที่สะท้อนต้นทุนอย่างเหมาะสม และปรับเปลี่ยนขึ้นลงราคาตามต้นทุนที่แท้จริง ภายใต้กลไกตลาดเสรีที่มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งช่วยให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้บริโภค สามารถปรับตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นลงตามกลไกตลาดได้ด้วยการทำความเข้าใจ ปรับตัว และวางแผนการใช้อย่างฉลาด เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและค่าครองชีพ เช่น ปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานให้คุ้มค่า โดยขับรถแบบ Eco-Driving ควบคุมความเร็วให้เหมาะสมที่ 80-100 กม./ชม. หลีกเลี่ยงการเร่งและเบรกกระทันหัน ดับเครื่องยนต์เมื่อจอดนานเกิน 5 นาที และบำรุงรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอ ทั้งการตรวจเช็คลมยางให้เหมาะสม เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองตามกำหนดและใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะกับรถ นอกจากนั้น ควรเลือกเดินทางให้มีประสิทธิภาพด้วยการวางแผนเส้นทางล่วงหน้าและหลีกเลี่ยงรถติด หรือหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ และอาจหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อลดการใช้น้ำมัน หรือใช้แอปพลิเคชันแชร์รถ หรือ Carpooling ตลอดจนใช้เทคโนโลยีช่วย เช่น การประชุมออนไลน์เพื่อลดการเดินทาง และที่สำคัญคือ ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน เพื่อวางแผนการใช้น้ำมันและการเดินทางให้มีประสิทธิภาพ