ปัจจุบันก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ยังเป็นเชื้อเพลิงที่กลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมัน ซึ่งจากข้อมูลของกรมขนส่งทางบกเมื่อปี 2567 พบว่ารถประจำทางในไทยที่ใช้ NGV มีทั้งสิ้นประมาณ 10,000 คัน ส่วนรถไม่ประจำทางที่ใช้ NGV มีประมาณ 3,000 คัน รวมรถที่ใช้ NGV ทั้งสิ้นประมาณ 13,000 คัน โดยจะมีการประกาศราคา NGV ทุกวันที่ 16 ของทุกเดือน เพื่อสะท้อนราคาตามสถานการณ์ที่แท้จริงและเป็นไปตามโครงสร้างที่ถูกควบคุมโดยภาครัฐ
โดยโครงสร้างราคา NGV จะมีคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขของราคาให้สอดคล้องกับนโยบาย แผนการบริหาร และการพัฒนาพลังงานของประเทศ ดังนั้น ปตท. จึงไม่สามารถปรับราคา NGV ได้เองโดยพลการ ต้องได้รับอนุมัติการปรับราคาจากหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ คือ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ภายใต้ กพช.
รัฐกำกับโครงสร้างราคาขายหน้าปั๊ม NGV
ภายใต้โครงสร้างราคาที่รัฐกำกับดูแล ราคาขายปลีกหน้าปั๊มของ NGV ที่ประกาศในแต่ละเดือนนั้น ไม่ได้มีแค่ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีองค์ประกอบของต้นทุนอื่นๆ ด้วย ดังนี้
– ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ เป็นต้นทุนหลักที่เกิดจากการจัดหาก๊าซฯ จากแหล่งผลิตในประเทศและต่างประเทศ ทั้งแหล่งในอ่าวไทย แหล่งในประเทศเมียนมา แหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) และจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยนำต้นทุนจากแหล่งต่างๆ เหล่านี้มารวมกัน เรียกว่า “ราคา Pool Gas”
– ค่าบริการท่อส่งก๊าซและค่าบริการจัดหาก๊าซ ซึ่งกำหนดโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
– ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในรัศมี 50 กิโลเมตร ครอบคลุมสถานีก๊าซธรรมชาติหลัก ค่าใช้จ่ายในการบีบอัดก๊าซ เนื่องจากก๊าซ NGV เป็นก๊าซธรรมชาติที่ต้องนำมาเพิ่มความดันเพื่อให้สามารถบรรจุใส่ถังในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อการใช้ประโยชน์ นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และต้นทุนการบริหารสถานีบริการก๊าซ NGV รวมถึงค่าบำรุงรักษาต่างๆ รวมแล้วในอัตรา 3.8920 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาคงที่
– ค่าขนส่งส่วนเกิน 50 กิโลเมตร ในกรณีสถานีก๊าซ NGV อยู่ไกลจากสถานีก๊าซธรรมชาติหลักเกิน 50 กิโลเมตร จะมีต้นทุนขนส่งเพิ่มเติม โดยคิดในอัตรา 0.0150 บาทต่อกิโลกรัม สูงสุดไม่เกิน 4 บาท
– ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีบำรุงท้องถิ่น

จากโครงสร้างราคาดังกล่าว จะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่าปัจจุบันไทยจะใช้ระบบ “ลอยตัวตามราคา Pool Gas” ให้ราคา NGV สามารถปรับขึ้นหรือลงได้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานที่เกิดขึ้นจริง (ย้อนหลังประมาณ 1 เดือน) ราคาขายปลีก NGV ก็สามารถสะท้อนต้นทุนได้บางส่วน คือ ในส่วนของราคาเนื้อก๊าซฯ ขณะที่องค์ประกอบอื่นของราคายังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป
ที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่ง คือ ราคาก๊าซ LNG ที่นำเข้ามา และรวมเป็นส่วนหนึ่งใน Pool Gas โดยทั่วไปจะมีต้นทุนสูงกว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในอ่าวไทย และมีความผันผวนตามตลาดโลก ราคา LNG จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาก๊าซ NGV ปรับตัวขึ้นหรือลงตามแต่ละช่วงเวลา
รัฐยังอุดหนุนราคากลุ่มเปราะบาง
แม้ว่าราคาก๊าซ NGV โดยทั่วไปจะมีการปรับเปลี่ยนตามต้นทุนเนื้อก๊าซธรรมชาติที่สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาพลังงานที่แท้จริง แต่ ปตท. ในฐานะกลไกของรัฐ ยังคงให้การช่วยเหลือราคา NGV แก่ผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เพื่อบรรเทาผลกระทบ สำหรับกลุ่มรถแท็กซี่และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะหมวด 1 และ 4* ปตท. จำหน่าย NGV ให้ที่ราคา 15.59 บาทต่อกิโลกรัม (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2568) และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ หมวด 2 และ 3** กำหนดราคาเพดานที่ 18.59 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ เพื่อลดภาระค่าครองชีพของผู้ขับรถแท็กซี่ และสนับสนุนการให้บริการขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ราคาค่าโดยสารกระทบผู้ใช้บริการในวงกว้าง
การปรับราคา NGV เป็นการพยายามสร้างสมดุลระหว่างการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของราคาเชื้อเพลิง กับการดูแลกลุ่มอาชีพที่มีบทบาทในระบบคมนาคมสาธารณะของประเทศ โดยตั้งแต่ ปี 2555 ปตท. ได้ช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ เป็นจำนวนเงินกว่า 36,000 ล้านบาท
การเปลี่ยนแปลงของราคาที่หน้าปั๊ม NGV ในแต่ละรอบเดือน จึงเป็นภาพสะท้อนของต้นทุนพลังงานที่ได้รับการ พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ทั้งปัจจัยภายในประเทศและสถานการณ์พลังงานในต่างประเทศ โดยอยู่ภายใต้โครงสร้างราคาที่ภาครัฐกำหนด ดังนั้น ปตท. จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้จำหน่าย NGV เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลและแบ่งเบาภาระในวันที่ต้นทุนพลังงานสูงและอาจส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีก NGV ให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่เปราะบาง เพื่อสนับสนุนการให้บริการขนส่งสาธารณะแก่ประชาชน และสร้างความมั่นคงทางพลังงานในภาพรวมของประเทศ
หมายเหตุ
* รถหมวด 1 หมายถึง เส้นทางรถโดยสารประจำทาง ซึ่งมีระยะทางส่วนใหญ่อยู่ภายในเขตกรุงเทพมหานคร
รถหมวด 4 หมายถึง เส้นทางรถโดยสารประจำทาง ซึ่งประกอบด้วยเส้นทางสายหลัก และเส้นทางสายย่อย ซึ่งแยกไปยังหมู่บ้านหรือแหล่งชุมชนต่าง ๆ ระหว่างจุดต้นทางและปลายทางอยู่รอบเขตกรุงเทพฯ โดยรวมทั้งรถเมล์เล็กในซอยหรือรถสองแถวด้วย
** รถหมวด 2 หมายถึง เส้นทางซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากสถานีขนส่งกรุงเทพฯ และไปสิ้นสุดเส้นทางในจังหวัดต่างๆ ในส่วนภูมิภาค เช่น กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ และ กรุงเทพฯ – หาดใหญ่ เป็นต้น
รถหมวด 3 หมายถึง เส้นทางซึ่งมีจุดเริ่มต้นในจังหวัดหนึ่ง และไปสิ้นสุดเส้นทางในอีกจังหวัดหนึ่งในส่วนภูมิภาค ระหว่างกลางเส้นทางอาจจะผ่านเขตจังหวัดต่างๆ จังหวัดเดียวหรือหลายจังหวัดก็ได้ เช่น สระบุรี – หล่มสัก และ เชียงใหม่ – ตาก เป็นต้น
ที่มา: กรมการขนส่งทางบก