10 เดือน (ม.ค. – ต.ค. 2568) ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปลดลง 20.3% จับตากระทรวงพลังงานเร่งติดตามการส่งออกน้ำมันทุกด่านตลอดแนวชายแดน

88
- Advertisment-

กรมธุรกิจพลังงาน เผย ปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทย รอบ 10 เดือน (ม.ค. – ต.ค. 2568)  เฉลี่ยอยู่ที่ 144,430 บาร์เรล/วัน ลดลง 20.3%  โดยเป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 11,883 ล้านบาท/เดือน ด้านกระทรวงพลังงาน สั่งเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงการส่งออกน้ำมันผ่านด่านช่องเม็ก ไปยัง สปป.ลาว พร้อมติดตามการส่งออกน้ำมันทุกด่านตลอดแนวชายแดน รวมถึงการส่งออกทางเรือ ย้ำชัด ให้ความร่วมมือกับกองทัพในการกำกับดูแลอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย

นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน

นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการส่งออกน้ำมันผ่านทางด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ไปยัง สปป.ลาว ว่าอาจมีการลักลอบส่งต่อน้ำมันให้ประเทศกัมพูชาหรือไม่นั้น กระทรวงพลังงาน โดย กรมธุรกิจพลังงาน ได้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ทั้งข้อมูลปริมาณการส่งออกในอดีตเทียบกับปัจจุบัน เส้นทางในการส่งออก รวมถึงได้กำชับผู้ค้าน้ำมันทุกรายในการปฏิบัติตามมาตรการห้ามส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกด่านตลอดแนวชายแดน ไทย – สปป.ลาว ที่อาจจะสามารถส่งต่อไปยังกัมพูชาได้ ส่วนที่ปรากฎภาพรถน้ำมันที่ตกค้างตามแนวชายแดนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากมาตรการคุมเข้มในการส่งออกน้ำมัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบริหารจัดการและการประสานกับผู้ค้าน้ำมันเพื่อตรวจสอบเส้นทางการขนส่ง และน้ำมันจะต้องถูกส่งไปยังจุดหมายปลายทางที่กำหนดใน สปป.ลาว เท่านั้น

นอกจากมาตรการป้องกันการขนส่งน้ำมันทางบกแล้ว กรมธุรกิจพลังงานได้ติดตามตรวจสอบไม่ให้มีการส่งออกน้ำมันทางเรืออย่างเข้มงวด เพื่อเป็นการจำกัดการส่งออกน้ำมันให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะติดตามการกำกับดูแลมาตรการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ เพื่อนำมาซึ่งความสงบสุขของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย

- Advertisment -

“ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน ได้กำชับผู้ค้าน้ำมันและได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดในการกำกับดูแลการส่งออกน้ำมันทั้งทางบกและทางเรือไปยังกัมพูชา เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และกรมธุรกิจพลังงาน ได้เพิ่มความเข้มงวดในการติดตามและกำกับดูแลการส่งออกน้ำมันที่ผ่านด่านตลอดแนวชายแดน ไทย – สปป.ลาว อย่างเคร่งครัด โดยจะต้องไม่มีการส่งออกน้ำมันที่มีปริมาณมากผิดปกติ และพร้อมเป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างผู้ค้าน้ำมันให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันของกองทัพ และจะยึดผลประโยชน์และความปลอดภัยของประเทศชาติและประชาชนชาวไทยเป็นสำคัญ” นายวีรพัฒน์ กล่าว

ด้านนายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ได้เปิดเผยสถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง รอบ 10 เดือน (มกราคม – ตุลาคม 2568) โดยปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เฉลี่ยอยู่ที่ 144,430 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 20.3 โดยเป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG คิดเป็นมูลค่าการส่งออกรวม 11,883 ล้านบาท/เดือน

ส่วนภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงเดือนมกราคม – ตุลาคม 2568 มีปริมาณอยู่ที่ 153.67 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) มีปริมาณการใช้ลดลงสูงสุด ที่ร้อยละ 16.1 ตามด้วยก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ลดลงร้อยละ 3.6 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลงร้อยละ 2.4 ขณะที่น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 การใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 และกลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 โดยมีรายละเอียดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ดังนี้

ปริมาณการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.59 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 โดยน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.53 ล้านลิตร/วัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงมาอยู่ที่ 0.37 บาท/ลิตร (ส่วนต่างราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม-ตุลาคม 2568) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ส่วนต่างราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม-ตุลาคม 2567 อยู่ที่ 0.88 บาท/ลิตร) จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มากขึ้นจากปีก่อน ขณะที่การใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 น้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 85 มีปริมาณการใช้ที่ลดลงมาอยู่ที่ 6.54 ล้านลิตร/วัน 5.08 ล้านลิตร/วัน 0.38 ล้านลิตร/วัน และ 0.06 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ

ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เฉลี่ยอยู่ที่ 64.73 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 2.4 โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ลดลงมาอยู่ที่ 64.72 ล้านลิตร/วัน และดีเซลหมุนเร็วบี 20 ลดลงมาอยู่ที่ 0.01 ล้านลิตร/วัน สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2568 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.2 แต่ชะลอตัวลงจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่สองของปี 2568 ซึ่งมาจากมาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ส่งผลให้ภาคการค้าและขนส่งสินค้าลดลงตาม ซึ่งเป็นไปตามดัชนีการขนส่งสินค้า เฉลี่ย 10 เดือน (มกราคม–ตุลาคม) ที่หดตัวลงร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวก็มีการชะลอตัวลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (short haul) ที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

ปริมาณการใช้ Jet A1 เฉลี่ยอยู่ที่ 16.78 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน สอดคล้องกับการขยายตัวของบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ เนื่องจากการเร่งการส่งออกในช่วงก่อนมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยการขนส่งทางอากาศช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี ขยายตัวร้อยละ 0.93 จากไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ ของรัฐบาลที่สนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารภายในประเทศขยายตัวร้อยละ 6.23 และปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.31 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้เป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (Low season)

ปริมาณการใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.90 ล้าน กก./วัน ลดลงร้อยละ 3.6 ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ภาคปิโตรเคมี ที่ลดลงมาอยู่ที่ 7.71 ล้าน กก./วัน และภาคขนส่งลดลงมาอยู่ที่ 2.25 ล้าน กก./วัน สอดคล้องกับปริมาณรถจดทะเบียนสะสมที่ใช้เชื้อเพลิง LPG ซึ่งลดลงร้อยละ 3.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.88 ล้าน กก./วัน และภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.07 ล้าน กก./วัน

ปริมาณการใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 2.35 ล้าน กก./วัน ลดลงร้อยละ 16.1 โดยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับจำนวนรถจดทะเบียน NGV สะสมที่ลดลง และจำนวนสถานีบริการ NGV ที่มีแนวโน้มปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงช่วยเหลือผ่านโครงการบัตรสิทธิประโยชน์ ให้กับกลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะ และได้ประกาศปรับลดราคา NGV สำหรับรถทั่วไปลง 0.39 บาท/กก. ส่งผลให้ราคาอยู่ที่ 16.77 บาท/กก. โดยมีผลระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบปี 2568 และจะมีการพิจารณาทุก ๆ เดือน เพื่อเป็นกลไกสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง

ส่วนปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1,021,002 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 2.1 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม 76,473 ล้านบาท/เดือน โดยเป็นการลดลงของการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันอากาศยาน และ LPG) มาอยู่ที่ 36,496 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 38.9 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 2,047 ล้านบาท/เดือน ขณะที่น้ำมันดิบมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 984,506 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 74,426 ล้านบาท/เดือน

Advertisment