กองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดมีสถานะติดลบเหลือ -22,982 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2564 โดยหลังจากหยุดชดเชยราคาน้ำมันทุกชนิดและหันกลับมาเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนฯ แทน ส่งผลให้ปัจจุบันกองทุนฯ มีเงินไหลเข้ากว่า 6,000 ล้านบาทต่อเดือน คาดเงินกองทุนฯ พลิกเป็นบวกได้ในเดือน ธ.ค. 2568 นี้ ส่วนหนี้เงินกู้แบงค์ยังคงเหลือ 52,360 ล้านบาท คาดชำระเสร็จในปี 2572
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานสถานการณ์เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรายสัปดาห์ว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ประกาศสถานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 31 ส.ค. 2568 ว่าเงินกองทุนฯ ยังคงติดลบ แต่ทยอยติดลบลดลงเหลือ -22,982 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -42,942 ล้านบาท เพราะนำไปช่วยพยุงราคาขายปลีก LPG ในประเทศ และมาจากบัญชีน้ำมันที่มีรายรับเข้ามารวม 19,960 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามวงเงินรวมของกองทุนฯ ที่ยังติดลบอยู่ -22,982 ล้านบาท นับว่าเป็นการติดลบที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564 หรือน้อยที่สุดในรอบ 4 ปี ทั้งนี้เนื่องจากกองทุนฯ ได้ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันทุกชนิด และหันไปเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนฯ ทั้งหมด ตั้งแต่ 6 ส.ค. 2567 เป็นต้นมา ส่งผลให้บัญชีน้ำมันมีเงินไหลเข้าเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จำนวน 773 ล้านบาท ในเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา และปัจจุบันบัญชีน้ำมันมีเงินไหลเข้ารวม 19,960 ล้านบาท
สำหรับเงินไหลเข้ารายวัน ปัจจุบันมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ รวม 212.78 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 6,383 ล้านบาทต่อเดือน) ซึ่งมาจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนฯ 185.09 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 5,552 ล้านบาทต่อเดือน) และมาจากโรงแยกก๊าซ 27.69 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 830 ล้านบาทต่อเดือน)
โดยผู้ใช้น้ำมันต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามประกาศของ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ล่าสุดดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ถูกเรียกเก็บ 3 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 1.90 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 3.60 บาทต่อลิตร และเบนซินธรรมดา ออกเทน 95 เรียกเก็บ 9.60 บาทต่อลิตร ส่วนผู้ใช้ดีเซล และดีเซล B20 ถูกเรียกเก็บ 1.40 บาทต่อลิตร และผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียม ถูกเรียกเก็บ 2.90 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตามกองทุนฯ ยังคงมีภาระหนี้สำคัญที่ไปกู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงินฯ ไว้รวม 105,333 ล้านบาท ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันเหลือหนี้อยู่ 52,360 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยจ่ายเงินต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกรอบเวลาที่กู้มาแต่ละครั้ง โดยในเดือน ต.ค. 2568 นี้จะต้องจ่ายหนี้เงินต้นสูงสุดประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะทยอยลดลง และในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 250 ล้านบาทต่อเดือนด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดตามกำหนดในปี 2572
สำหรับก่อนหน้านี้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเกือบ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน และคาดว่าเงินกองทุนฯ น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2568 แต่เนื่องจากในช่วงเดือน มิ.ย. 2568 เกิดภาวะสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้น จนกองทุนฯ ต้องนำเงินไปพยุงราคาดีเซลอีกครั้ง และทำให้รายรับของกองทุนฯ ลดลง จากเดิมคาดการณ์ว่ากองทุนฯ จะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2568 ต้องขยับออกไปเป็นเดือน ธ.ค. 2568 นี้แทน เนื่องจากกองทุนฯ มีรายรับประมาณ 6 พันล้านบาทต่อเดือน ขณะที่เงินกองทุนฯ ปัจจุบันติดลบอยู่ -22,982 ล้านบาท
สำหรับราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 4 ก.ย. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 69.39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาเพิ่มขึ้น 0.01 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 63.23 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 0.74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 66.87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 0.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ด้านค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 4 ก.ย. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 3.31 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.03 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.09 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.14 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 3.99 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.51 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง วันที่ 1-4 ก.ย. 2568 อยู่ที่ 2.37 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)