ส.กทอ.ยกเมืองอัจฉริยะ มช.ต้นแบบความสำเร็จ BCG Model พร้อมเชิญชวนหน่วยงานรัฐ-เอกชนยื่นขอรับงบสนับสนุนกองทุน ปี 2568

25
- Advertisment-

สำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน หรือ ส.กทอ. ยกเมืองอัจฉริยะ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้นแบบที่ใช้เงินกองทุนพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ หรือ BCG Model ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมกระตุ้นหน่วยงานในภูมิภาคยื่นขอจัดสรรเงินทุนปี 2568 วงเงิน 3,250 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา นายรัฐฉัตร ศิริพานิช ผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) และนายอัมรินทร์ วงษ์พันธุ์ รองผู้จัดการ ส.กทอ. นำทีมงานและสื่อมวลชน เดินทางมาศึกษาดูงานที่ศูนย์บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะเพื่อความยั่งยืน และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร รวมถึงตัวอย่างโครงการศึกษาของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมี ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ,ผศ.ดร.ชาย รังสิยากูล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มช. ,รศ.ดร.สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงานนครพิงค์ และ ผศ.ดร.อนุชา พรมวังขวา ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล มช. ให้การต้อนรับ

ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

นายรัฐฉัตร เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นทุนหมุนเวียน มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้การจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมากองทุนได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคาร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ซึ่งในการเดินทางมาศึกษาดูงานที่ศูนย์บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะเพื่อความยั่งยืน และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร รวมถึงตัวอย่างโครงการศึกษาของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งนี้ ถือว่าเป็นต้นแบบโครงการ BCG Model หรือการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ ไปพร้อมกัน ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญและเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

- Advertisment -
รัฐฉัตร ศิริพานิช ผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.)

สำหรับโครงการต้นแบบเมืองอัจฉริยะพลังงานสะอาด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City-Clean Energy) เป็นหนึ่งใน 6 โครงการต้นแบบที่กองทุนฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 115,005,500 บาท เพื่อริเริ่ม “โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities-Clean Energy)” ในปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร สถาบันการศึกษาเพื่อออกแบบพัฒนาเมืองของตนเองไปสู่เมืองอัจฉริยะ

“ผลลัพธ์ที่กองทุนฯ คาดหวังคือ เมืองไทยจะมีแผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยเฉพาะในบริบทของการลดภาวะโลกร้อนที่คำนึงถึงการใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดการใช้พลังงาน ลดคาร์บอน และสร้างเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับอนาคตต่อไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เป็นพันธมิตรที่ดีของกองทุนฯ และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านมา ที่ได้มีการพัฒนาและยกระดับการดำเนินการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างต่อเนื่องจนได้รับรางวัลและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีการนำเทคโนโลยีด้านพลังงานต่าง ๆ ที่เคยได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เช่น ระบบก๊าซชีวภาพ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การดัดแปลงรถยนต์เป็นรถไฟฟ้าและงานวิจัยอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยฯ” ผู้จัดการ ส.กทอ.กล่าว

รถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน

นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์เมืองอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยฯ มุ่งเน้นกำจัดขยะอย่างยั่งยืน โดยนำขยะจากหอพักและโรงอาหารมาผลิตเป็นไบโอแก๊ส เพื่อนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง CBG (Compressed Biomethane Gas) หรือก๊าซไบโอมีเทนอัด คือเชื้อเพลิงที่ได้จากการนำก๊าซชีวภาพ (Biogas) มาปรับปรุงคุณภาพ มีคุณสมบัติเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)

ทั้งนี้การบริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรสามารถลดปริมาณขยะที่ต้องฝังกลบและเผาได้ประมรณ 4,500 ตัน/ปี ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 10,900 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยขยะอินทรืย์ 1 ตัน สามารถสร้างประโยชน์รวมได้มากถึง 1,500 – 2,000 บาท ซึ่งมาจากการผลิตก๊าซ การลดคาร์บอน และการประหยัดค่าขนส่ง ซึ่งโครงการนี้ก็ถือเป็นต้นแบบที่น่าสนใจในการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม

นายรัฐฉัตร ยังกล่าวเชิญชวนให้หน่วยงานหรือองค์กรที่มีสิทธิ์ยื่นขอรับจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2568 ที่มีการอนุมัติวงเงินเอาไว้ 3,250 ล้านบาท ว่าควรให้ความสำคัญกับกลไก BCG Model ของกองทุนฯ เพื่อเป็นการช่วยผลักดันหน่วยงานให้มีความพร้อมก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดทางคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ขยายระยะเวลาการเปิดรับข้อเสนอโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 17 กันยายน 2568

ผศ.ดร.ชาย รังสิยากูล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มช.

 ผศ.ดร.ชาย รังสิยากูล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มช. กล่าวชี้ให้เห็นถึงการได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 10 ล้านบาท ว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้ทาง มช.จัดทำแผนยุทธศาสตร์ศูนย์บริหารจัดการเมืองมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตั้งเป้าให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นเมืองอัจฉริยะที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการ การวิจัยพัฒนา การใช้นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี คศ.2032 และจะสร้างผลดีต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมได้มากถึง 60,000ล้านบาท จากเม็ดเงินที่ต้องลงทุนตามแผนประมาณ 15,000 ล้านบาท

รศ.ดร.สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ด้าน รศ.ดร.สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ทางสถาบันเตรียมยื่นเสนอของบกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับปี 2568 เพื่อมาดำเนินการพัฒนาต่อยอดงานวิจัย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า Battery Swapping หรือเทคโนโลยีการสลับแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ส่วนเรื่องก๊าซชีวภาพ CBG ( Compressed Biomethane Gas ) จะวิจัยพัฒนาสำหรับต่อยอดใช้กับภาคอุตสาหกรรม เพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หลังจากที่ประสบผลสำเร็จในการทดลองใช้กับรถยนต์ ทดแทนการใช้ก๊าซ NGV  ส่วนพลังงานไฮโดรเจนซึ่งจะเป็นพลังงานในอนาคต ที่จะเริ่มมีการใช้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นในประเทศไทย หลังปี 2030 ทางสถาบันมองว่าจำเป็นต้องเตรียมงานวิจัยเทคโนโลยีให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ โดยพลังงานไฮโดรเจนจะเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดโครงการ Smart City ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Advertisment