รัฐมนตรีพลังงาน แถลงนโยบาย เร่งเครื่อง “Quick Big Win” เต็มกำลัง ทั้งโครงการโซลาร์ภาคประชาชน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม และการสร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ Net Zero 2025 คาดช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศกว่า 7 แสนล้านบาท ชี้โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ เริ่มได้ พ.ย. 2568 ขณะที่โครงการ Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้ภายในเดือน พ.ย. 2568
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง แถลงนโยบายสำคัญด้านพลังงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลผ่านโครงการ “Quick Big Win” ว่า โครงการ “Quick Big Win ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ โครงการโซลาร์ภาคประชาชน, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม และการสร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ Net Zero 2025 โดยประเมินว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากทั้ง 3 ส่วนดังกล่าว ทั้งด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 700,000 ล้านบาท, เกิดการจ้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง, ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 10 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี ช่วยลดรายจ่ายด้านพลังงาน และเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนด้วย
โดยในส่วนของการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนนั้น จะมีโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ซึ่งประกอบด้วย 1) โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นรูปแบบของชุมชนจับมือกับภาคเอกชนดำเนินโครงการ โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุนผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มและขายไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 3 บาทต่อหน่วย ซึ่งชุมชนจะได้ส่วนลดค่าไฟฟ้าราคาถูก และกำไรที่เอกชนได้จากการขายไฟฟ้าก็จะแบ่งปันให้กับชุมชนด้วย

ทั้งนี้กำหนดกำลังการผลิตไฟฟ้าไว้ 1,500 เมกะวัตต์ โดยขนาดโครงการรวมไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อชุมชน ซึ่งคาดว่าจะประกาศรับซื้อได้ภายในเดือน พ.ย. 2568 นี้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนได้ 30,000 ล้านบาท และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้กว่า 0.80 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี รวมทั้งเกิดการจ้างงานมากกว่า 1,600 ตำแหน่ง
2) โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร กำหนดเป้าหมายติดตั้ง 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่ 7 แสนไร่ เป็นรูปแบบที่ภาครัฐเป็นผู้ลงทุน โดยใช้งบจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ติดตั้ง 50 ระบบ วงเงิน 536 ล้านบาท และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ติดตั้ง 1,150 ระบบ วงเงิน 11,960 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้จะช่วยลดค่าพลังงานได้ 1,500 บาทต่อไร่ต่อปี กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนกว่า 12,500 ล้านบาท มีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 0.06 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี
3) การเร่งรัดมาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์ โดยผู้ที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์จะได้รับการลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 2 แสนบาทต่อครัวเรือน มีเป้าหมายผู้เข้าร่วม 9 หมื่นครัวเรือน ซึ่งโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 20,250 ล้านบาท ลดการใช้ไฟฟ้าได้กว่า 585 ล้านหน่วยต่อปี เกิดการสร้างงานกว่า 450 ตำแหน่ง และลดคาร์บอนฯ ได้ 0.28 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี
4) โครงการโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมีศักยภาพกำลังผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเขื่อนภูมิพล 778 เมกะวัตต์, เขื่อนศรีนครินทร์ 770 เมกะวัตต์ และเขื่อนวชิราลงกรณ 90 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 53,000 ล้านบาท และลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้ 0.82 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี

สำหรับในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรมนั้น ประกอบด้วย “โครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง” หรือ Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้ภายในเดือน พ.ย. 2568
โดยคาดว่าจะเกิดเม็ดเงินลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต นอกจากนั้น ยังมี “การพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออก (EEC)” ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 800 เมกะวัตต์ รองรับธุรกิจ Data Center 16 ราย รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมผ่านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ผ่านกลไกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
และในส่วนของการอนุรักษ์พลังงานนั้น จะเร่งสร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ Net Zero ค.ศ. 2050 ผ่านโครงการต่างๆ ข้างต้น รวมทั้งการเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือแผน PDP ที่จะมีการทบทวนรายละเอียดให้การผลิตไฟฟ้าตอบโจทย์กับเป้าหมาย Net Zero 2050 ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการเริ่มโครงการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ภายในปี 2577 และระหว่างปี 2577 ถึงปี 2607 (30 ปี) จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 6.4 ล้านตันต่อปี
“ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนและประชาชนทุกท่านที่ให้ความสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวและส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้วางกรอบการทำงาน “Quick Big Win” ไว้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีระยะเวลาในการทำงานที่ค่อนข้างจำกัด เป้าหมายความสำเร็จจึงต้องมีความชัดเจน โดยในด้านการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชน ผมให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ ซึ่งกระทรวงพลังงานก็เพิ่งได้มีการตรึงราคาก๊าซหุงต้มและลดราคาน้ำมันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ในอนาคตก็จะมีเป้าหมายในการลดค่าไฟฟ้า ซึ่งต้องหารือกับหลายหน่วยงาน ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศแผนงานที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ทั้งโครงการโซลาร์รูปแบบต่างๆ จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ กฟผ. ก็สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในราคาต้นทุนที่ถูกลง การเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการผลิตในพื้นที่เศรษฐกิจ EEC รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม จากทุกโครงการที่นำเสนอข้างต้น สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดมูลค่าการลงทุนสูงถึง 700,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 10 ล้านตันต่อปี” นายอรรถพล กล่าว