ในทิศทางการส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 พลังงานลมคือหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่รัฐมีนโยบายส่งเสริมด้วยการรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลม โดยกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed in Tariff – FiT ที่สะท้อนถึงต้นทุนการผลิตและผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสมเท่ากับ 3.1014 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565
พลังงานลมนั้นมีข้อดี คือ เป็นพลังงานที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ไม่มีวันหมด ไม่ต้องมีต้นทุนเชื้อเพลิงให้ประเทศต้องเสียเงินตราต่างประเทศไปนำเข้ามา เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG เป็นเชื้อเพลิง ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ผู้ลงทุนสามารถสร้างฟาร์มกังหันลมได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ประหยัดเวลาในการก่อสร้างและใช้งบประมาณในการบำรุงรักษาน้อย นอกจากนี้ พื้นที่ที่มีการลงทุนติดตั้งกังหันลมซึ่งผู้ลงทุนจะมีการลงทุนสร้างถนนเข้าไปในพื้นโครงการยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกันด้วย
อย่างไรก็ตามในการพัฒนาพลังงานลมในประเทศไทยยังมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ที่มีศักยภาพของพลังงานลมที่เหมาะสมในการนำมาผลิตไฟฟ้า โดยมักจะอยู่ในพื้นที่สูงบนภูเขา หรือตามแนวร่องลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ และพื้นที่ตามแนวชายฝั่งอ่าวไทย ทั้งนี้ การติดตั้งกังหันลมยังจำเป็นจะต้องอยู่ในจุดที่มีกำลังลมสม่ำเสมอ บางครั้งอาจจะอยู่ห่างไกลจากระบบสายส่งและต้องมีการตัดถนนเข้าไปในพื้นที่ นอกจากนี้ ในช่วงที่กังหันลมทำงานจะมีมลภาวะทางเสียงซึ่งจะรบกวนผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งหากต้องการให้การส่งกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบสายส่งไปถึงผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ควรต้องมีการลงทุนระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานด้วยซึ่งจะทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น
การนำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์นั้นอาศัยเทคโนโลยีกังหันลมซึ่งเป็นเหมือนเครื่องจักรกลที่แปลงพลังงานจลน์จากการเคลื่อนที่ของลมแล้วนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยความเร็วลมที่เหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้าจะต้องมีความเร็วหรือกำลังลมที่สม่ำเสมอเฉลี่ยตลอดปีไม่น้อยกว่าระดับ 6.4 – 7.0 เมตรต่อวินาทีที่ความสูง 50 เมตร จึงจะทำให้กังหันลมทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับโครงการฟาร์มกังหันลมที่มีการลงทุนไปแล้วส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่อำเภอเทพสถิตย์ อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ และอำเภอปากช่อง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งอยู่ในแนวร่องลมมรสุม ทั้งนี้ เพื่อให้มีฐานข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนของผู้ประกอบการ ภาครัฐโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือ พพ. กระทรวงพลังงาน ได้มีการศึกษาแผนที่ศักยภาพพลังงานลมในประเทศไทยเอาไว้ ที่ระดับความสูง 90 เมตร ย้อนหลัง 15 ปี (ค.ศ. 2006-2020)


วัชรพงศ์ เข็มแก้ว นายกสมาคมพลังงานลม (ประเทศไทย) อธิบายถึงเทคโนโลยีกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าว่า มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเหมาะสมกับศักยภาพลมในประเทศไทยซึ่งมีความเร็วลมค่อนข้างต่ำ จากกังหันลม 1 ต้นที่ผลิตไฟฟ้าได้ 2.3 เมกะวัตต์ก็เพิ่มขึ้นเป็น 3 เมกะวัตต์และ 4.5 เมกะวัตต์ ซึ่งตัวกังหันลมจะสามารถเริ่มทำงานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ความเร็วลมที่ 3 เมตรต่อวินาทีขึ้นไป
สำหรับข้อจำกัดของพลังงานลม คือ พื้นที่ติดตั้งกังหันลมจำเป็นจะต้องอยู่ในจุดที่มีกำลังลมสม่ำเสมอซึ่งบางครั้งก็อาจจะห่างไกลจากระบบสายส่ง ต้องมีการตัดถนนเข้าไปในพื้นที่ที่จะติดตั้ง และหากมีประชาชนอาศัยอยู่ใกล้เคียงก็อาจเกิดมลภาวะทางเสียงและการรบกวนคลื่นวิทยุในช่วงที่กังหันลมกำลังทำงาน นอกจากนี้ เพื่อให้การผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนเข้าสู่ระบบสายส่งไปถึงผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ควรต้องใช้ควบคู่ไปกับระบบโซลาร์เซลล์และระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน แต่ระบบแบตเตอรี่สำหรับกักเก็บพลังงานลมยังมีต้นทุนที่สูง
วัชรพงศ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมที่รัฐมีนโยบายรับซื้อและจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบแล้ว มีกำลังผลิตติดตั้งประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ คิดเป็นกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จริงประมาณ 3,400 ล้านหน่วยต่อปี โดยประเมินศักยภาพพลังงานลมทั่วทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 17,000 เมกะวัตต์ ซึ่งในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ แผนพีดีพี ฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการจัดทำแผน มีการระบุพลังงานลมเอาไว้เบื้องต้นประมาณ เกือบ 10,000 เมกะวัตต์
ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าพลังงานลมที่นำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่รัฐมีนโยบายส่งเสริมนั้นช่วยสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงโครงการ โดยทุกหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานลมทางผู้ลงทุนจะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้า หน่วยละ 1 สตางค์ ในขณะที่การกำกับดูแลเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ภายใต้การดำเนินนงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ที่ผู้ลงทุนจะต้องปฏิบัติตามประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice)* ที่สำนักงาน กกพ. วางหลักเกณฑ์แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเอาไว้แล้วอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นเหมือนคนกลางระหว่างชาวบ้าน ชุมชน กับผู้ลงทุน ที่จะช่วยสร้างความเข้าใจและความมั่นใจให้มีมากขึ้น
ดังนั้น แนวโน้มในอนาคตของพลังงานลมในประเทศไทยจึงมีโอกาสที่จะพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้นด้วยเทคโนโลยีกังหันลมและระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานที่มีต้นทุนลดต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งหากต้นทุนลดลงมาถึงระดับที่แข่งขันได้กับเชื้อเพลิงฟอสซิล เชื่อว่าภาครัฐจะเพิ่มสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานลมให้มากขึ้นตามศักยภาพลมที่มีเหลืออยู่ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการปรับลดคาร์บอนได้ตามที่ประกาศเอาไว้เร็วยิ่งขึ้น
* ทำความรู้จักกับ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมตามประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice) หรือ CoP ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)
CoP ถือเป็นเครื่องมือสำคัญของ กกพ. ในการกำกับดูแลผู้ประกอบกิจการพลังงานให้ดำเนินการเป็นไปตามมาตรฐานที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนในประเทศไทย โดยในสาระสำคัญของ CoP จะครอบคลุมการดำเนินการตลอดวัฏจักรของโครงการพลังงาน ตั้งแต่ระยะเตรียมการก่อสร้าง เช่น การศึกษาปริมาณและลักษณะคุณสมบัติของเชื้อเพลิง เกณฑ์การปฏิบัติด้านพื้นที่ก่อสร้าง การออกแบบแผนผังโครงการ (Plant Layout) ระยะก่อสร้าง เช่น มาตรการควบคุมมลพิษระหว่างการก่อสร้าง ระยะดำเนินการ เช่น จะมีมาตรการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งคุณภาพอากาศ น้ำ เสียง และการจัดการของเสีย รวมถึงระยะรื้อถอน จะมีมาตรการสำหรับการรื้อถอนอาคาร เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ อย่างไร
สำหรับประเภทโรงไฟฟ้าที่ กกพ. มี CoP กำหนดเอาไว้ ได้แก่
– โรงไฟฟ้าประเภทเผาไหม้เชื้อเพลิง (เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าขยะ)
– โรงไฟฟ้าประเภทไม่เผาไหม้เชื้อเพลิง (เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม)
