นายกฯ กำชับรัฐมนตรีพลังงาน รับมือสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก ดูแลราคาและสำรองน้ำมัน ช่วยเหลือประชาชน ด้าน ครม. เห็นชอบ 2 มาตรการพลังงานลดหย่อนภาษีได้ ทั้งการส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน นำมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง กำหนดเวลาถึง 31 ธ.ค. 2571 และมาตรการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในบ้านที่อยู่อาศัย นำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ ไม่เกิน 2 แสนบาท กำหนดเวลาถึง 31 ธ.ค.2570
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม. )วันนี้ (24 มิ.ย. 2568) โดยระบุว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่กระทบต่อประเทศไทย โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ที่มีโอกาสจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก และส่งผลถึงเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ไม่ว่าเป็นผลด้านปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมนาคมและการท่องเที่ยว รวมทั้งจะส่งผลถึงเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทย และความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นอย่างมาก
ดังนั้นในด้านความมั่นคงทางพลังงาน ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รับผิดชอบในการกำหนดมาตรการเตรียมพร้อม รับมือสำหรับพลังงานสำรอง และมาตรการช่วยเหลือประชาชน หากมีภาวะขาดแคลนหรือมีราคาที่สูงขึ้น ให้หามาตรการมารองรับไว้
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี และมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รวมถึงกระทรวงการคลัง ร่วมกันพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ครม. มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินงานและติดตามประเมินผลตามมาตรการดังกล่าว ซึ่งแนวทางนี้ ประกอบด้วย 2 มาตรการ ดังนี้

1.มาตรการส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนคนไทยทุกคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยสามารถหักค่าใช้จ่าย หรือนำรายจ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง
โดยมีเงื่อนไขต่างๆ เช่น การลงทุนในทรัพย์สิน วัสดุ อุปกรณ์ เช่น เครื่องจักรที่ได้รับการรับรองฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีจำนวน 19 ผลิตภัณฑ์ ปั๊มความร้อน เครื่องอัดอากาศขนาดเล็กแบบลูกสูบ หรือเป็นวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรที่ได้รับฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงาน ระดับ 5 ดาว ซึ่งก็มีอยู่ประมาณ 13 ผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
โดยจะต้องเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยและไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ซึ่งต้องได้มาและพร้อมใช้งานภายใน วันที่ 31 ธ.ค. 2571 รวมทั้งจะต้องไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น และไม่เป็นทรัพย์สินที่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมาย เช่น BOI หรือ EEC นอกจากนี้ยังต้องมีหลักฐานใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มรูปแบบ ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรมาแสดงด้วย
ส่วนระยะเวลาของมาตรการจะเริ่มตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2571
ทั้งนี้จากมาตรการที่ 1 นี้ คาดการณ์ว่าจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจรวม 254,063.22 ล้านบาท ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยได้ 30,268.16 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 110,188.33 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 15.34 ล้านตันคาร์บอนฯเทียบเท่าต่อปี
2.มาตรการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในบ้านที่อยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูปท็อปในภาคครัวเรือนทั่วประเทศ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ประชาชนที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในที่พักอาศัย โดยสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ในวงเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 หรือว่าประเภทบ้านที่อยู่อาศัย ไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือว่าคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล นอกจากนี้ ชื่อผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจะต้องตรงกับชื่อเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านที่อยู่อาศัย รวมทั้งเป็นสิทธิการลดหย่อนภาษี 1 บุคคล 1 มิเตอร์ 1 ระบบ
นอกจากนี้ระบบโซลาร์รูฟท็อปที่ติดตั้งจะต้องเป็นระบบออนกริด (On-grid System) และมีกำลังการผลิตติดตั้งสูงสุดไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ต่อหลัง ต้องเป็นระบบที่มีการจัดซื้อจัดตั้งและยื่นขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย รวมทั้งมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ และเอกสารอื่นๆ เช่น เอกสารขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า
ส่วนระยะเวลาของมาตรการที่ 2 นี้ จะแตกต่างจากมาตรการที่ 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี คือ ถัดจากวันที่ราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้มีผลบังคับใช้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2570
โดยมาตรการที่ 2 นี้ คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้รวม 20,250 ล้านบาท ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยได้ 585 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,100 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.64 ล้านตันคาร์บอนฯเทียบเท่าต่อปี
ทั้งนี้ทั้ง 2 มาตรการดังกล่าว ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว