ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เน้นผลิตโซลาร์รูฟท็อปใช้เองเป็นหลัก

519
- Advertisment-

คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการ “ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” เน้นความปลอดภัย การจัดการอุปกรณ์หลังหมดอายุ และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชน เบื้องต้นกำหนดให้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อใช้เอง โดยใช้ได้เฉพาะในสถานที่ติดตั้งเท่านั้น  พร้อมแจ้งการติดตั้งต่ออธิบดีกรม พพ. ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การติดตามซากโซลาร์รูฟท็อปและห้ามถอดแยกชิ้นส่วนหลังหมดอายุการใช้งาน พร้อมบทลงโทษผู้ฝ่าฝืน ยืนยันไม่กระทบรายได้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 29 ก.ค. 2568 ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการ “ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” ซึ่งเป็นการแจ้งและกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป สำหรับใช้เองในที่อยู่อาศัยและในสถานประกอบกิจการ

โดยจะมีการกำกับดูแลกระบวนการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและวิศวกรรม รวมทั้งการจัดการด้านอุปกรณ์หลังหมดอายุการใช้งาน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าของประชาชนและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศ รวมถึงลดการพึ่งพาและลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างชาติ

- Advertisment -

นอกจากนี้ ครม. ยังรับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมุ่งเน้นให้เกิดกระบวนการติดตั้งอุปกรณ์ให้เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ควบคู่กับการวางกรอบการกำกับดูแลการติดตั้งให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีมาตรฐานความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนความยุ่งยาก

สำหรับ ร่าง พ.ร.บ. นี้ มีเนื้อหาสำคัญ 5 เรื่อง ได้แก่ 1. กำหนดให้มีการแจ้งการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อใช้เองในที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบการ ต่ออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยไม่ต้องขออนุญาตการติดตั้งจากหน่วยงานของรัฐหลายๆ แห่งอีก

2. มีการกำกับให้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อปเฉพาะในสถานที่ติดตั้งเท่านั้น 3.กำหนดหลักเกณฑ์การติดตามการจัดการซากอุปกรณ์และห้ามถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ของโซลาร์รูฟท็อปหลังหมดอายุการใช้งานแล้ว ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย

4.กำหนดอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานเพื่อตรวจสอบและติดตามการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และ 5.มีบทลงโทษสำหรับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้

สำหรับปัจจุบันกำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยมีประมาณ 55,707 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงและพลังงานทุกประเภทเฉลี่ยประมาณ 25,000 เมกะวัตต์ ซึ่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะไม่กระทบต่องบประมาณและการสูญเสียรายได้ของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนมาจำหน่ายให้ประชาชนในปริมาณที่สูงกว่าการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายเอง ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของ กฟผ. คือค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงไฟฟ้าเอกชน ดังนั้นค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายจึงเป็นของโรงไฟฟ้าเอกชนและผู้ที่จะสูญเสียรายได้หลักจึงเป็นโรงไฟฟ้าของเอกชน ไม่ใช่ กฟผ.

Advertisment