ปัญหาการสู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันยาวกว่า 800 กิโลเมตร จนถึงขั้นตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ปิดทุกด่านชายแดน เลิกทำการค้าระหว่างกัน บานปลายกลายเป็นความสูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ซึ่งเมื่อมองเฉพาะในมุมผลกระทบทางเศรษฐกิจ การค้า แรงงาน การท่องเที่ยว การลงทุน และพลังงาน ถือว่าฝั่งกัมพูชากลายเป็นผู้ทำลายโอกาสนี้เองและบีบให้ฝ่ายไทยต้องเล่นบทผู้แพ้ที่ต้องรับผลกระทบตามไปด้วย
โดยมองเฉพาะผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มีต่อทั้งสองประเทศ อาจจะแยกประเด็นที่เห็นเด่นชัดดังนี้
การค้าชายแดน การสั่งปิดด่านชายแดนทั้ง 18 จุดที่มีการเชื่อมโยงการค้าระหว่างกัน ซึ่งมีการประเมินว่ามีมูลค่ารวมสูงกว่า 150,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้การค้าหยุดชะงักทันที โดยตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า การปิดด่านเพียง 5 จุดใหญ่ ก็ก่อให้เกิดความสูญเสียมูลค่าไม่ต่ำกว่า 14,000 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็นการสูญเสียการส่งออกจากไทยประมาณ 11,400 ล้านบาท และการนำเข้าจากกัมพูชา ประมาณ 2,600 ล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมีความหลากหลาย ฝั่งของไทยเป็นการส่งออกสินค้าอุปโภคและบริโภค ในขณะที่กัมพูชาไม่สามารถส่งออกมันสำปะหลังและผักผลไม้เข้ามายังตลาดไทยได้
ด้านแรงงาน มีแรงงานชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งประมาณ 510,000 คนนั้นจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งของทั้งสองประเทศ ทางรัฐบาลกัมพูชามีการกดดันในหลายรูปแบบให้แรงงานกัมพูชาทิ้งงานในประเทศไทย กลับไปยังกัมพูชา โดยอ้างว่าจะมีงานรองรับ ซึ่งฝ่ายไทยรายงานว่า มีแรงงานอพยพกลับราว 300,000 คน ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาระบุว่ามีมากถึง 750,000 คน อย่างไรก็ตามมีกรณีของแรงงานกัมพูชาจำนวนมากที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแล้วเดินทางกลับประเทศ แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่าไม่มีงานในกัมพูชารองรับจริงตามที่รัฐบาลกัมพูชากล่าวอ้างไว้ ก็ลักลอบกลับเข้ามาทำงานที่ฝั่งไทย กลายเป็นแรงงานที่ผิดกฎหมายไปในที่สุด
หากยึดตัวเลขที่ฝ่ายไทยรายงาน ผลกระทบจะอยู่ในระดับปานกลางคือธุรกิจการก่อสร้าง เกษตร การประมง และบริการบางส่วนขาดแคลนแรงงานทันที ขณะที่กัมพูชาสูญเสียรายได้จากแรงงานที่ส่งกลับบ้านราว 150 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 5,400 ล้านบาท) คิดเป็นราว 0.6% ของ GDP โดยผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานกัมพูชา รัฐบาลพยายามที่จะนำเข้าแรงงานจากศรีลังกา บังคลาเทศ มาทดแทนอย่างเร่งด่วน แต่เสียงของผู้ประกอบการส่วนหนึ่งสะท้อนว่า งานหลายประเภทที่แรงงานกัมพูชามีความถนัดและสื่อสารกันได้กับนายจ้าง ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยแรงงานศรีลังกาหรือบังคลาเทศ
การท่องเที่ยว การหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าจากฝั่งไทยให้กับกัมพูชาและการปิดด่านการค้าสำคัญ ทำให้การท่องเที่ยวในเมืองที่มีชายแดนติดกัน เช่น สระแก้ว ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ที่เคยมีนักท่องเที่ยวจากกัมพูชาและไทยข้ามไปมา กลับกลายเป็นเมืองที่เงียบเหงา มีการประเมินว่าสูญเสียรายได้ไม่น้อยกว่า 2,970 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งทางฝั่งกัมพูชา ก็สถานการณ์ไม่ต่างกัน สถานที่สำคัญท่องเที่ยวสำคัญ เช่น นครวัด มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมากกว่าร้อยละ 20 ส่งผลต่อเนื่องไปถึงธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และบริการที่เคยรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ
การลงทุน กัมพูชาเป็นประเทศที่นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนโดยมีมูลค่าลงทุนสะสมกว่า 50,000 ล้านบาท ครอบคลุมตั้งแต่เกษตรกรรม โรงงานแปรรูป ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์และโลจิสติกส์ ความขัดแย้งชายแดน ทำให้นักลงทุนไทยจำนวนมากต้องชะลอแผนขยายธุรกิจ บางรายเริ่มพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ขณะที่นักลงทุนต่างชาติก็จับตาความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของกัมพูชาที่มีเพิ่มขึ้นจากการที่มีปัญหาความขัดแย้งกับไทย ที่เดิมเคยเป็นมิตรประเทศต่อกัน โดยปัญหาความความขัดแย้งอาจทำให้ภาพลักษณ์ของทั้งสองประเทศในสายตาประชาคมโลกดูไม่มั่นคง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระยะยาว
สำหรับการยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นทางออกที่จะช่วยเยียวยา ลดผลกระทบให้กับผู้ประกอบการไทยนั้น ทางนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้แทนจาก 7 จังหวัด ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เข้าพบนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
โดยข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่นำเสนอต่อรัฐบาลครั้งนี้ มีด้วยกัน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย มาตรการช่วยเหลือทางด้านภาษีและค่าธรรมเนียม มาตรการการเงินเพื่อสภาพคล่องผู้ประกอบการ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว และมาตรการด้านแรงงานและการจ้างงาน เช่น ขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท การนำเข้าแรงงานทดแทนจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม เช่น สปป.ลาว หรือเมียนมา โดยปรับขั้นตอนการนำเข้าแรงงานให้รวดเร็วและง่ายขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าแรงงาน สำหรับแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณาผ่อนปรนให้สามารถกลับเข้ามาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยใช้บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) เป็นเอกสารแสดงตนในเบื้องต้น และเมื่อเดินทางเข้ามาแล้ว ให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ด้านพลังงาน ในผลกระทบทางกัมพูชาสั่งงดนำเข้าสินค้าพลังงานจากไทย ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานของกัมพูชามีต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นจากการที่ต้องไปนำเข้าน้ำมันจากมาเลเซียและเวียดนามมาทดแทน ในขณะที่ผลกระทบจากฝั่งไทยเมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อการค้าน้ำมันโดยรวมถือว่าน้อยมาก

นอกจากนี้โอกาสที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตของทั้งกัมพูชาและไทยที่รัฐบาลไทยเตรียมความพร้อมเชิงนโยบายเอาไว้แล้ว คือเรื่องของการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา หรือ OCA ซึ่งคาดว่าจะมีทรัพยากรปิโตรเลียมที่ประเมินเป็นมูลค่าเบื้องต้นไว้กว่า 10 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการเจรจากับทางกัมพูชากันถึงความร่วมมือในหลายมิติ รวมถึงด้านการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และต่อมารัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ได้บรรจุไว้เป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะเร่งแนวทางเจรจาภายใต้ MOU 2544 แต่เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งของทั้งสองรัฐบาล เรื่องสำคัญดังกล่าวจึงต้องหยุดชะงักลงไป ทำให้ประเทศเสียโอกาสในการนำทรัพยากรขึ้นมาใช้และลดการพึ่งพาการนำเข้า รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม ทั้งการจ้างงานและการลงทุน
การที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากการรบ แต่ทว่ากลายเป็นการปิดฉากการค้า การลงทุน และการสร้างความมั่นคงพลังงานในประเทศตัวเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยด้วย เพราะเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น ฉุดดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของไทยวูบต่ำสุดรอบ 3 ปี ดังนั้น ในเมื่อเกมการเมืองของฝั่งไทยมีการเปลี่ยนขั้วและเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี จากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร มาเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งโดยภาพลักษณ์ส่วนตัว ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับทางผู้นำกัมพูชา และแม้จะมีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน ก่อนที่จะยุบสภาตามเงื่อนไขข้อตกลงกับพรรคประชาชน แต่งานเร่งด่วนที่ควรต้องยกมือสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้า คือการรีบฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้านการทูตของทั้งสองประเทศที่ติดลบ ให้กลับคืนมาเป็นบวก เพื่อให้มีการเปิดด่านชายแดน ติดต่อทำการค้าขายกันได้ตามปกติ เพราะอย่างไรเสีย กัมพูชาก็คือเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน ไม่สามารถแยกแผ่นดินออกจากกันได้ จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์ติดลบนั้นยืดเยื้อยาวนานออกไป จนทำให้โอกาสที่จะนำปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA มาใช้เพื่อการพัฒนาประเทศนั้นสูญเปล่า