การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ครบรอบ 65 ปี มุ่งขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้ทั่วถึงพื้นที่ดูแล 74 จังหวัด 11 เกาะ เตรียมเดินหน้าโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เหลือใช้จากภาคครัวเรือน (โซลาร์เสรีภาคครัวเรือน) เป้าหมาย 300 เมกะวัตต์ รับซื้อปีละ 100 เมกะวัตต์ ระหว่างปี 2568-2570 จำนวน 60,000 ครัวเรือน เตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ ครม. พิจารณา ยืนยันพร้อมปรับตัวยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน สู่การเป็น Digital and Green Grid และยกระดับองค์กรสู่การขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างแท้จริง
วันที่ 8 ก.ย. 2568 ดร.มงคล ตรีกิจจานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แถลงผลการดำเนินงานเนื่องในโอกาสการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ครบรอบ 65 ปี ในวันที่ 28 ก.ย. 2568 นี้ว่า ปัจจุบัน กฟภ. มีลูกค้าที่ใช้ไฟฟ้าอยู่ประมาณ 22 ล้านราย และยังคงขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงในพื้นที่รับผิดชอบ 74 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้น กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ) โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่
โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้พื้นที่เกาะต่างๆ ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้จำนวน 11 เกาะ, โครงการขยายเขตไฟฟ้าด้วยวิธีปักเสาพาดสายให้บ้านเรือนรายใหม่ระยะที่ 3 โดยมีเป้าหมาย 146,000 ครัวเรือน ใช้งบประมาณ 6,500 ล้านบาท ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเมื่อ 2 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา , โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตรระยะที่ 3 เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ ก่อให้เกิดความยั่งยืนในการพัฒนาชนบท โดยมีเป้าหมาย 50,000 ราย ใช้งบประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างที่กระทรวงมหาดไทยเสนอเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อนำเข้า พิจารณาใน ครม.

นอกจากนี้ยังมีโครงการจัดหาไฟฟ้าให้กลุ่มบ้านในพื้นที่ห่างไกลด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมระบบกักเก็บพลังงาน เป้าหมาย 10 กลุ่มบ้าน กลุ่มบ้านละ 80-100 หลังคาเรือน, โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่เหลือใช้จากภาคครัวเรือน (โซลาร์เสรีสำหรับภาคครัวเรือน) เป้าหมาย 300 เมกะวัตต์ โดยรับซื้อปีละ 100 เมกะวัตต์ ระหว่างปี 2568-2570 จำนวน 60,000 ครัวเรือน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอโครงการฯ ให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบ และโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จ.กาญจนบุรี สนับสนุนระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Solar Home งบประมาณ 23.4 ล้านบาท จำนวน 371 ครัวเรือน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กฟภ. ยังดำเนินกิจการที่มุ่งเน้นด้านพลังงานสะอาด โดยมีธุรกิจ PEA Climate Solution ได้แก่ 1. ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) กฟภ. ได้จัดหาใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate:REC) สำหรับองค์กรที่มีเป้าหมายจะมุ่งสู่ความยั่งยืน หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ที่ได้กำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาดและองค์กรที่ได้รับผลกระทบการส่งออกจากมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

2. บริการไฟฟ้าสีเขียว (UGT) อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว Utility Green Tariff (UGT) คืออัตราค่าบริการไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเลือกใช้ไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม โดยที่ยังคงได้รับไฟฟ้าที่มีคุณภาพ มั่นคง และเชื่อถือได้เหมือนเดิม โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน 100% ได้ พร้อมกับได้รับใบรับรองพลังงานหมุนเวียน หรือ REC ตามมาตรฐาน I-REC ของ The International Tracking Standard Foundation : ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และตอบสนองความต้องการของห่วงโซ่อุปทานสากลที่เรียกร้องให้ใช้พลังงานสะอาด ซึ่งปัจจุบัน PEA เปิดให้บริการ UGT1 (อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว แบบไม่เจาะจงแหล่งมา) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเปิดให้บริการ UGT2 (อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว แบบเจาะจงแหล่งมา) ในเร็วๆ นี้
3. CARBONFORM PEA พัฒนาแพลตฟอร์ม CARBONFORM เพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร พร้อมเชิญชวนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นนิติบุคคลในพื้นที่รับผิดชอบของ PEA 74 จังหวัด ใช้งานแพลตฟอร์ม CARBONFORM ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ บริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ และแพลตฟอร์ม CARBON MICE จัดการคาร์บอนสำหรับงานอีเวนต์ที่สามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างละเอียด ติดตามความคืบหน้าของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเรียลไทม์ วิเคราะห์แหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก วางแผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรายงานที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการขององค์กร ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. PEA Solar ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบายภาครัฐ ส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยให้บริการติดตั้ง บำรุงรักษา บริหารจัดการพลังงานในองค์กร ได้แก่ Renewable Energy : RE ในรูปแบบ ESCO Model Guaranteed Rebate และ Energy Efficiency : EE ในรูปแบบ ESCO Model Shared Saving

สำหรับก้าวต่อไปของ กฟภ.ยังคงขับเคลื่อนองค์กรสู่ Digital Utility คือเป้าหมายแรกสู่การเป็น Digital and Green Grid และเป็นปีที่ กฟภ. จะเร่งเครื่องสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์อย่างแท้จริง หรือ PEA Move to AI Organization เพื่อยกระดับ ความมั่นคง (Reliability), ประสิทธิภาพ (Efficiency) และ ประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) ให้ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอบโจทย์ยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ โดย PEA มุ่งเน้นประเด็นสำคัญดังนี้
1. AI Organization โดยนำ AI เพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าด้วยการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) แทนการรอให้เสียแล้วซ่อม และการบริการที่รวดเร็ว ผ่าน PEA Smart Plus และ LINE OA ช่วยให้ PEA บริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมในระยะยาว และช่วยให้ผู้ใช้ไฟฟ้าวางแผนการใช้พลังงานเพื่อประหยัดค่าไฟของตนเองได้
2. AI for Operations ใช้โดรนและ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายต้นไม้ใกล้แนวสายไฟฟ้า เพื่อหาว่าเส้นทางใดที่ต้องทำการตัดต้นไม้ก่อน ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จะหาจุดชำรุดหรือจุดเสี่ยงโดยอัตโนมัติ ซึ่งลดทั้งความเสี่ยงของพนักงานและเพิ่มความแม่นยำ
3. AI for Service PEA พัฒนา Chatbot อัจฉริยะรุ่นใหม่ ที่สามารถเข้าใจภาษาไทยที่ซับซ้อนและเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้แบบเรียลไทม์

4. AI for Efficiency and New Business ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการภายใน ลดต้นทุน ยกระดับความโปร่งใส และต่อยอดสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในยุค Electricity 5.0
5. AI for Grid พัฒนา AI พยากรณ์โหลด (Load Forecast) และพยากรณ์ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้บริหารจัดการไฟฟ้าในระบบได้เสถียรยิ่งขึ้น
การเป็น AI Organization จะสำเร็จได้ ต้องมีรากฐานที่มั่นคง คือ บุคลากรของ กฟภ. ต้องมีการ “Upskill และ Reskill” พนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลและ AI เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่มหาศาลให้มีคุณภาพ พร้อมใช้งาน และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดย กฟภ. กำลังทำแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง เพื่อให้ AI สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ กฟภ. จะลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงให้สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและสร้างโมเดล AI ที่ซับซ้อนให้มีความปลอดภัย ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น รองรับการเติบโตในอนาคต
สำหรับการครบรอบ 65 ปี ของ กฟภ. นั้น ในด้านการดำเนินงานของ กฟภ. ยังคงมุ่งไปในทิศทางภายใต้แนวคิด Move For The Future: Smart Technology & Sustainable Energy ขับเคลื่อนองค์กรสู่ Digital Utility การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม AI สำหรับที่ผ่านมา กฟภ. ได้เริ่มต้นจากการบุกเบิกนำไฟฟ้าสู่ประชาชน เร่งรัดพัฒนาไฟฟ้าสู่ชนบทส่งเสริมความเจริญสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมจนสามารถขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงในพื้นที่รับผิดชอบ 74 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้น กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ) พัฒนาองค์กรเพื่อก้าวสู่ระดับสากลในธุรกิจพลังงาน พัฒนาคุณภาพระบบไฟฟ้าและการบริการ ตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า สร้างคุณค่าสู่สังคม สิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ขับเคลื่อนองค์กรสู่ Digital Utility พร้อมพัฒนาปรับเปลี่ยนด้านพลังงานตามความต้องการของลูกค้า ยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัยรองรับพลังงานสะอาดและเดินหน้าบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพด้วยระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” (Smart Energy for Better Life and Sustainability)
