แนวโน้มเงินกองทุนน้ำมันฯ พลิกเป็นบวกได้ต้นปี 2569 แทน หลังรายรับหด 1.6 พันล้านบาทต่อเดือน

39
- Advertisment-

กองทุนน้ำมันฯ มีแนวโน้มจะเป็นบวกได้ต้นปี 2569 แทน จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน ธ.ค. 2568 หลังภาพรวมรายรับกองทุนฯ ลดลงกว่า 1,600 ล้านบาทต่อเดือน จากมาตรการลดเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ 50 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่กองทุนฯ ล่าสุดติดลบเหลือ -16,372 ล้านบาท ชี้ติดลบต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2566 ส่วนภาระหนี้แบงค์ลดลงเหลือ 33,054 ล้านบาท    

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานสถานการณ์เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรายสัปดาห์ว่า ฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 5 ต.ค. 2568 ติดลบรวม -16,372 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -42,023 ล้านบาท และมาจากบัญชีน้ำมันที่มีเงินไหลเข้ารวม 25,651 ล้านบาท  โดยยอดเงินติดลบ -16,372 ล้านบาทนี้ นับว่าติดลบน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2566   

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2568 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติปรับลดการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนฯ ลง 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อให้ราคาน้ำมันขายปลีกปรับลดลง 50 สตางค์ต่อลิตร ส่งผลให้รายรับจากน้ำมันลดลงจากประมาณ 179.35 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 5,380 ล้านบาทต่อเดือน) เหลือประมาณ 126 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 3,780 ล้านบาทต่อเดือน)  

- Advertisment -

โดยภาพรวมรายรับต่อวันของกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดอยู่ที่ 154.08 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 4,622 ล้านบาทต่อเดือน) ซึ่งมาจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนฯ 126 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 3,780 ล้านบาทต่อเดือน) และมาจากโรงแยกก๊าซฯ 28.08 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 842 ล้านบาทต่อเดือน)

ดังนั้นเป้าหมายที่ กบน. เคยคาดการณ์ว่ากองทุนฯ น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ธ.ค. 2568 อาจจะขยับไปเป็นเดือน ม.ค. 2569 แทน หากสถานการณ์ราคาน้ำมันและปัจจัยต่างๆ ยังทรงตัวในแบบเดียวกับปัจจุบันนี้

สำหรับในส่วนของภาระหนี้สำคัญที่ได้กู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงินฯ ไว้รวม 105,333 ล้านบาท ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันยังเหลือหนี้อยู่ 33,054 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยจ่ายเงินต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกรอบเวลาที่กู้มาแต่ละครั้ง โดยในเดือน ต.ค. 2568 นี้จะต้องจ่ายหนี้เงินต้นสูงสุดประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นก็จะทยอยลดลง และในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 250 ล้านบาทต่อเดือนด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดตามกำหนดในปี 2572

ขณะที่ในด้านผู้ใช้น้ำมันมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามประกาศของ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ล่าสุด (3 ต.ค. 2568) ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ถูกเรียกเก็บ 3 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 1.90 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 3.60 บาทต่อลิตร และเบนซินธรรมดา ออกเทน 95 เรียกเก็บ 9.60 บาทต่อลิตร ส่วนผู้ใช้ดีเซล และดีเซล B20 ถูกเรียกเก็บ 0.50 บาทต่อลิตร และผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียม ถูกเรียกเก็บ 2.00 บาทต่อลิตร

สำหรับราคาน้ำมันตลาดโลกล่าสุด ณ วันที่ 6 ต.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 70.01 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 61.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.79 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 65.36 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ด้านค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 6 ต.ค. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 3.63 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.11 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.16 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 2.96 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 2.39 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 2.11 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-6 ต.ค. 2568 อยู่ที่ 2.42 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

Advertisment