จากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและมาตรการด้านภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันด้านการค้ากับต่างประเทศที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ล้วนกลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ถาโถมเข้ามาเพิ่มขึ้น
ดังนั้นการวางแผนธุรกิจที่ดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอยู่รอดของ SME ในยุคปัจจุบัน ซึ่ง บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เป็นธุรกิจด้านนวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยี ที่ให้คำปรึกษาและการวางแผนธุรกิจเพื่อต่อยอดให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้เห็นถึงปัญหาที่ SME กำลังเผชิญอยู่ จึงได้มุ่งเน้นเข้ามาช่วยส่งเสริม SME และผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถแข่งขันได้ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น
โดย นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือ SME และผู้ประกอบการรายย่อยว่า SME ไทยมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษกิจของประเทศ แต่ปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจหลากหลายด้าน ดังนั้นในปี 2568 นี้ บริษัท อินโนพาวเวอร์ จึงมุ่งเน้นที่จะเข้าไปช่วยพัฒนาธุรกิจของ SME ให้ปรับตัวและอยู่รอดได้ พร้อมกับการเติบโตต่อไปในอนาคต
SME กำลังประสบปัญหาใดบ้าง
ปัจจุบัน SME กำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอย สินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาด รวมถึงการกำหนดภาษีส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ที่ 19% แม้จะเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ยังพอแข่งขันได้บ้าง แต่ต้องพิจารณาถึงสินค้าที่สหรัฐฯ จะส่งเข้ามาและได้รับอัตราภาษีนำเข้า 0% ว่าจะส่งผลกระทบต่อสินค้า SME ไทยหรือไม่ ถ้าเป็นสินค้าที่ไทยผลิตอยู่แล้ว มาเจอกับสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ส่งเข้ามา และยังมีสินค้าต้นทุนต่ำจากจีนเข้ามาแข่งอีกด้วย จะยิ่งกระทบต่อธุรกิจ SME อย่างแน่นอน
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการเคยตั้งงบสำหรับการลงทุนด้านการลดคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ซึ่งช่วยให้กระบวนการผลิตสินค้าของบริษัทคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อให้เป็นองค์กรสีเขียวมากขึ้น แต่ในปี 2568 เห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจไม่ดี ส่งผลให้ผู้ประกอบการลดงบประมาณด้าน Decarbonization ลง เพื่อผันเงินไปลงทุนในธุรกิจหลักแทน ซึ่งอาจมีปัญหาด้านเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น โดยเมื่อมองระยะสั้นอาจส่งผลดีต่อธุรกิจ แต่ระยะกลางและระยะยาวอาจไม่ดีนัก เนื่องจากต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรปให้ความสำคัญกับสินค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม หรือ ผลิตภัณฑ์สีเขียวเป็นหลัก อีกทั้งการไม่ลงทุนพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ในอนาคต
อินโนพาวเวอร์สามารถช่วย SME ได้
ดังนั้น บริษัท อินโนพาวเวอร์ จึงพยายามจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ SME ด้วยการให้บริการด้านการให้คำปรึกษา วางแผนโรดแมปธุรกิจด้วยการนำนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดมาช่วยลดต้นทุนธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเปลี่ยนแปลงไปสู่ธุรกิจสีเขียว 100% ที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่สามารถค่อยๆ ทยอยทำได้ เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า รวมถึงการจัดการรีไซเคิลในองค์กร เป็นต้น
ทั้งนี้อินโนพาวเวอร์มีโซลูชั่นนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่หลากหลายแนวทางที่สามารถช่วย SME ได้ โดยจะใช้แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ SME รวมถึงการช่วยคัดเลือกนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่เหมาะสมให้ SME เพื่อให้เกิดการลดต้นทุนธุรกิจและสร้างการเติบโตด้านผลประกอบการ

ปี 2568 มีงบ 300 ล้านบาท ช่วย SME ลงทุน
หากผู้ประกอบการไม่มีงบลงทุนเพียงพอ ทางอินโนพาวเวอร์ได้จัดสรรงบไว้ 300 ล้านบาทในปี 2568 เพื่อช่วย SME ลงทุนด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาด ซึ่งสามารถแบ่งปันผลประโยชน์กัน หรือ แบ่งปันผลประหยัดพลังงานได้
ปัจจุบันอินโนพาวเวอร์มีลูกค้า SME แล้วกว่า 150 ราย โดยคาดว่าสิ้นปี 2568 จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 200 ราย ซึ่งลูกค้ากลุ่มใหญ่คือ ธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามมองว่าธุรกิจที่น่าสนใจเข้าไปช่วยเหลือคือ ธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร โรงแรม เป็นต้น เนื่องจากไทยมีจุดเด่นด้านบริการท่องเที่ยว ขณะที่ต่างประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกใช้บริการโรงแรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรกก่อน ดังนั้นหากผู้ประกอบการสามารถปรับธุรกิจอย่างเหมาะสมจะช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้มากขึ้น
“หลายคนมีภาพจำว่า การเป็นสีเขียวต้องแพงเสมอ แต่ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นแล้ว โดยเฉพาะถ้าบอกว่าคุณเริ่มต้นสีเขียวแค่ 30-50% คุณสามารถทำได้เลย ทั้งการติดตั้งโซลาร์เซลล์ รวมถึงระบบการจัดการของเสียที่ดีขึ้น จะทำให้คุณลดต้นทุนได้ การรีไซเคิลต่างๆ ก็ทำได้ ซึ่งสามารถค่อยๆ เขียวและแข่งขันได้ไปในตัว ถ้า SME อยากจะเขียวตั้งแต่วันแรกเลย ต้นทุนจะแพงแน่นอน เช่น ต้องการพลังงานสะอาด 100% ต้องติดโซลาร์เซลล์ ติดตั้งแบตเตอรี่ที่ใหญ่มากเกินกว่าความจำเป็น ดังนั้นจะแพง ถ้าเราค่อยๆ เขียวโดยติดโซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ตอนกลางวันให้เพียงพอและประหยัดไฟฟ้าก่อน ซึ่งถ้าวางแผนให้ถูกต้อง มีกรีนโรดแมปที่เหมาะสมจะสามารถทำให้เขาแข่งขันได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว”
ความก้าวหน้าด้านใบรับรอง REC
2 ปีที่ผ่านมา อินโนพาวเวอร์เป็นบริษัทอันดับ 1 ของประเทศในด้านการให้บริการใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (REC) อย่างไรก็ตามอินโนพาวเวอร์พยายามเจาะตลาดไปถึงผู้ประกอบการรายย่อย ปัจจุบันเปิดตัวไปแล้วกับ K bank และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยได้ทำให้กลุ่มลูกค้า K bank มีใบ REC จากการผลิตไฟฟ้าบนหลังคา และอินโนพาวเวอร์ไปซื้อและขายต่อให้พันธมิตรของลูกค้าต่อไป
นอกจากนี้เตรียมดึงคาร์บอนเครดิตออกมาจากสถานีชาร์จไฟฟ้า หรือเอาคาร์บอนเครดิตมาจากรถ เพราะรถที่ขับทุกๆ กิโลเมตรจะมีคาร์บอนเครดิตออกมาได้ ซึ่งคาดว่าไตรมาส 3 ปี 2568 นี้ น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จัดใส่ในแพลตฟอร์มของหนึ่งในมาตรฐานสากลทางด้านคาร์บอนเครดิตได้
ให้คำแนะนำติดตั้งสถานีชาร์จ EV
ทีมงานเริ่มมีการศึกษา และเห็นว่าหลายบริษัทมีปัญหาเรื่องโลจิสติกส์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก ดังนั้นอินโนพาวเวอร์จะเข้าไปให้บริการคำแนะนำด้านการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าที่เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาช่วย กฟผ. ประหยัดได้ 6-7 แสนกว่าบาทใน 1 ปี และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้มาก ซึ่ง กฟผ. ก็อยากเป็นองค์กรที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคตอันใกล้นี้

ผลประกอบการ
ในปี 2568 นี้ จะลงลึกให้ถึง SME และรายย่อยมากขึ้น จากที่ได้ดำเนินการมาสามารถช่วยผู้ประกอบการลดได้ 2.5 ล้านตันเทียบเท่าคาร์บอน หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ได้กว่า 100 ล้านต้น และจะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจกรีนในสภาพเศรษฐกิจถดถอยก็ยังสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้
โดย 2 ปีที่ผ่านมา อินโนพาวเวอร์เติบโตได้ 1,000% หรือ 10 เท่า และคาดว่าปี 2568 จะสร้างรายได้ 400 ล้านบาท หรือเติบโตได้ 40% แม้เศรษฐกิจไทยจะโตเพียงแค่ 2% เนื่องจากประสิทธิภาพในการทำแต่ละโปรเจคท์ดีขึ้น ส่งผลให้เพียงแค่ครึ่งแรกของปี 2568 ก็มีกำไรอยู่ที่ 9 ล้านบาทแล้ว สูงขึ้นกว่าปี 2567 ที่มีกำไร 3 ล้านบาท ซึ่งกำไรส่วนหนึ่งก็มาจากต้นทุนเทคโนโลยีถูกลงด้วย และตั้งเป้าหมายว่าปี 2568 น่าจะมีกำไรได้ถึง 10-15 ล้านบาท
นายอธิป ทิ้งท้ายว่า โอกาสสำหรับ SME ไทยในช่วงนี้ยังมีอยู่ ซึ่งจากปัจจัยที่สหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีกับจีน ทำให้จีนไม่สามารถส่งออกเครื่องมือต่างๆ ไปสหรัฐฯ ได้ โดยเฉพาะเครื่องมือด้านพลังงานสะอาด จนสินค้าล้นตลาด ดังนั้นจีนจึงต้องมองหาตลาดอื่นแทน ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่รองรับสินค้าจีนได้ และทิศทางราคาพลังงานสะอาดก็ถูกลงเรื่อยๆ ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มีต้นทุนเหลือแค่ 10 เซนต่อวัตต์ หรือประมาณ 3 บาทต่อวัตต์ ซึ่งไม่เคยเห็นราคาที่ถูกเท่านี้มาก่อน ถือเป็นช่วงที่ราคาต่ำและเป็นโอกาสที่จะเร่งพัฒนาพลังงานสะอาดในประเทศไทยและช่วย SME ไทยได้