บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เตรียมทบทวนแผนการลงทุนในกัมพูชา หลังยอดขายลดลง 50-60% ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน คาดสรุปชัดเจนภายในปลายปี 2568 ถึง ม.ค. 2569 พร้อมยุติลงทุนร้าน คาเฟ่อเมซอนในเวียดนามทั้งหมดลดปัญหาขาดทุน หลังการแข่งขันสูง ประเมินปี 2569 ราคาน้ำมับดิบอยู่ในกรอบ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตั้งเป้าดึงคนเข้าใช้บริการ พีทีที สเตชั่น แตะ 4.3 ล้านคนต่อวัน
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า OR ยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก เช่น เมียนมา , สปป.ลาว ,กัมพูชา เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับประเทศไทย และที่สำคัญประเทศไทยมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งทางถนน ทางรถไฟ ทางเรือ รวมถึงมีศักยภาพของโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า และโครงข่ายท่อน้ำมัน ถือว่ามีความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยที่ตั้งของประเทศไทย ที่เอื้อต่อการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตามการลงทุนในกัมพูชานั้น เดิม OR มีการลงทุนสถานีบริการน้ำมัน ประมาณ 200 แห่ง แบ่งเป็นที่ OR ลงทุนเอง 10% และตัวแทนจำหน่าย (Dealer) อีก 90% ซึ่งหลังจากกัมพูชามีปัญหาความขัดแย้งกับประเทศไทย ทำให้ผู้ลงทุนสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชาที่หมดสัญญากับ OR ตัดสินใจเปลี่ยนค่าย ก็เข้าใจได้ว่าเกิดจากปัญหาการต่อต้านสินค้าแบรนด์ไทยในกัมพูชา โดยปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายที่หมดสัญญากับ OR และตัดสินใจเปลี่ยนค่าย ประมาณ 40 ราย ส่วนตัวแทนจำหน่ายที่ยังไม่หมดสัญญาหากจะเปลี่ยนค่ายก็ต้องใช้กลไกทางกฎหมายบังคับ ซึ่งปัจจุบันเหลือสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชา ประมาณ 150 แห่ง และร้านคาเฟ่อเมซอน ก็เหลือยู่ประมาณ 150 แห่ง
“ณ วันนี้ ยังคาดเดาสถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ออกว่าจะเดินไปในทิศทางใด ซึ่งก็มีทั้งอาจจะคืนดีกับกัมพูชาก็ได้ หรือเดินในอีกทิศทางหนึ่งก็ดี เรามีแผนรองรับอยู่แล้ว ว่าเราจะเดินยังไงต่อ เพราะแน่นอนว่าถ้ายอดขายลดลงมากขนาดนี้ มันไม่ใช่ธุรกิจที่คุ้มค่า แต่ขณะเดียวกันเราก็คงไม่ทำต่อ ซึ่งปัจจุบันยอดขายในกัมพูชาลดลงมากประมาณ 50-60% แต่ในภาพรวมไม่ได้กระทบต่อธุรกิจของ OR เพราะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2-3% ของกำไรของ OR”
ส่วนการลงทุนในเวียดนาม หลังจากที่ OR ได้แจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าบริษัทร่วมทุน ORCG ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านคาเฟ่อเมซอนในเวียดนามต้องเลิกกิจการ เนื่องจากตลาดกาแฟเวียดนามมีการแข่งขันสูงมาก ประกอบกับความท้าทายด้านวัฒนธรรมการบริโภคกาแฟที่เข้มแข็งของคนท้องถิ่น ทำให้การขยายธุรกิจทำได้ยากและไม่คุ้มค่าในระยะยาว
“คาเฟ่อเมซอนในเวียดนาม ที่ทำมา 20-30 สาขา เราไม่สามารถเอาสูตรความสำเร็จในประเทศไทย ไปใช้กับเวียดนามได้ คู่ต่อสู้แข็งแกร่งมาก หนึ่งเขาเป็นผู้ประกอบการท้องถิ่น (local) เอง และการทำธุรกิจในเวียดนามมีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่พอสมควร จึงไม่สามารถขยายสาขาต่อไปได้”
อย่างไรก็ตามมองว่าการลงทุนในบางประเทศยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่ต้องปรับการลงทุนบางอย่าง อย่างเช่น การลงทุนในกัมพูชาก็กำลังติดตามดูว่าหากยอดขายลดลงมาก อาจต้องปรับยุทธวิธีการลงทุนในกัมพูชา แต่ทั้งนี้การลงทุนในกัมพูชาอยู่ในแผนใหญ่ของบริษัท ซึ่งวันนี้ยังเฝ้าดูพัฒนาการของสถานการณ์และคงมีการตัดสินใจ อย่างช้า ในเดือน ม.ค. ปี 2569 อย่างเร็วก็ภายในปี 2568 นี้เลย ว่าจะทำอย่างไรกับกัมพูชาต่อ หาก 2 ประเทศตกลงว่าจะทำธุรกิจต่อก็อยู่ต่อไป แต่หาก 2 ประเทศบอกไม่เอาแล้ว เอาสถานทูตออกและเริ่มรบกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่ต้องปิดกิจการ
ส่วนการลงทุนในเมียนมา OR มองว่า น่าจะผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว โดยเข้าใจว่าในเดือน ธ.ค. 2568 นี้ น่าจะมีการเลือกตั้งในเมียนมาเกิดขึ้น และถ้าการเลือกตั้งออกมาในรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับได้ในสังคมโลก เมียนมาก็จะเป็นประเทศหนึ่งที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบในการเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะในด้านพลังงาน หลังจากที่เมียนมามีปัญหามานาน ประชากรก็พร้อมที่จะเติบโตและการเติบโตของระบบเศรษฐกิจของเมียนมา ก็จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการใช้พลังงาน ดังนั้นการเข้าไปลงทุนในเมียนมาก็น่าจะมีอนาคตที่ดี
การลงทุนในลาว ปัจจุบันทาง OR มีการลงทุนอยู่แล้ว โดยมีสถานีบริการน้ำมันเกือบทุกจังหวัดในลาวและธุรกิจเดินหน้าด้วยดี ไทยกับลาวเปรียบเสมือนญาติพี่น้องกัน แต่จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในกัมพูชา ก็ทำให้ต้องกลับมาคิดว่า พี่น้องที่อยู่ใกล้กันก็มีโอกาสกระทบกระทั่งกันได้ทุกเมื่อ และสิ่งที่OR ทำมาได้ดีในกัมพูชา สุดท้ายก็พังลงในพริบตาได้เช่นกัน อันนี้ก็เป็นการเรียนรู้เพื่อกำหนดรูปแบบการเติบโตของธุรกิจต่างประเทศในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้การเติบโตในต่างประเทศ ยังคงเป็นเสาหลักอันหนึ่งของ OR โดยเสาหลักแรกคือธุรกิจ Mobility รองลงมา คือ ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) อย่างธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) แม้จะมีสัดส่วน 4-5% ของรายได้ แต่คิดเป็นเกือบ 30% ของกำไร ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ตอนนี้ก็ต้องพักก่อน เงินลงทุนต่างประเทศต้องลดลง และเตรียมปรับยุทธศาสตร์การลงทุนธุรกิจในต่างประเทศใหม่ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวถึงทิศทางพลังงานในปี 2569 OR มองว่าราคาน้ำมันดิบ น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบันที่ระดับ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แม้ว่าจะมีเรื่องการใช้รถไฟฟ้าเข้ามามากขึ้น แต่การใช้น้ำมันจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดและเลื่อนออกไปตราบใดที่ราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ก็ไม่เกิดแรงจูงใจในการเปลี่ยนผ่านจากการใช้รถเครื่องยนต์สันดาปไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้เร็วนัก เพราะราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่พอรับได้
โดยในปี 2569 ตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) จากการขายน้ำมัน โดยดึงดูดคนเข้ามาใช้บริการในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ให้ได้ 4.3 ล้านคนต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.9 ล้านคนต่อวัน และอยากเพิ่มเป็น 5 ล้านคนต่อวัน ภายในปี 2571 ซึ่งปัจจุบัน OR มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ระดับ 36% เป็นอันดับ 1 ของประเทศ และในอนาคตจะเดินหน้าผลักดันไปสู่เป้าหมายมีมาร์เก็ตแชร์ ระดับ 40%














































