บทบาทธนาคารไทย ในวันที่ถนน (เกือบ) ทุกสายกลายเป็นสีเขียว

172
- Advertisment-

ไทยอาจสูญเสีย GDP มากถึง 44% ในอีก 25 ปีข้างหน้าจากภาวะโลกรวน แต่หากทุกภาคส่วนตระหนักและเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ในอีก 40 ปี ไทยก็อาจสามารถบรรลุทั้งเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้เช่นกัน” ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนจึงเป็นวาระระดับชาติที่เป็น “ทางรอด ไม่ใช่แค่ทางเลือก” ซึ่งภาครัฐเองก็ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ โดยมีการดำเนินการในมิติต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับตัวไปสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน เช่น การจัดทำร่าง พ.ร.บ. Climate Change การเก็บภาษีคาร์บอนน้ำมัน หรือการเพิ่มทางเลือกการใช้ไฟฟ้าสะอาดผ่านบริการไฟฟ้าสีเขียวแบบไม่เจาะจงแหล่งที่มา (UGT1) เป็นต้น

อย่างไรก็ดี แม้ทิศทางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศผู้นำโลกอย่างสหรัฐอเมริกาในยุค Trump 2.0 จะสวนกระแสกับสถานการณ์โลกรวนแต่ภาพรวมนโยบายสีเขียวทั่วโลกยังคงมุ่งไปสู่ทิศทางเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากความเคลื่อนไหวในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น การออกมาตรการ CBAM(Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือที่เรียกว่ากฎเหล็กควบคุมสินค้านำเข้าที่มีคาร์บอนสูงของสหภาพยุโรป หรือการออกนโยบายด้าน ESG ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากถึง 2 เท่า ซึ่งคิดเป็น 20% ของนโยบาย ESG ทั่วโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ธนาคารพาณิชย์ “The Green Multiplier” บทบาทที่มากกว่าการให้เม็ดเงินสีเขียว:

- Advertisment -

หนทางสู่การบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ของไทยในอีก 3 ทศวรรษข้างหน้าคงต้องใช้ความพยายามไม่น้อย เพราะเมื่อมองผ่านมุมทางเศรษฐกิจจะพบว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีสัดส่วนธุรกิจที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Brown) อยู่มาก โดยภาคอุตสาหกรรมยังพึ่งพาการใช้พลังงานจากถ่านหินและน้ำมันสูงถึง 60% และกว่า 30% ของ GDP ภาคอุตสาหกรรมไทยยังอยู่ในโลกเก่า อีกทั้ง SMEs ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทยส่วนมากยังขาดความพร้อมในการปรับตัวสู่ความยั่งยืน ซึ่งหากไทยไม่สามารถเปลี่ยนผ่านได้ นอกจากความเสี่ยงที่อาจสูญเสีย GDP ดังได้กล่าวข้างต้นแล้ว ภาคธุรกิจก็อาจเสี่ยงหลุดจากห่วงโซ่อุปทานในระดับสากลด้วย

ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสีเขียว หนึ่งในผู้เล่นภาคธุรกิจไทยที่มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่แม้จะไม่ได้ปล่อยคาร์บอนมากเท่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ แต่ก็เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ต่างกัน จากข้อมูลในแบบรายงาน One-report ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่าบริษัทในภาคการเงินมีความตื่นตัวในการรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ค่อนข้างมากแม้ว่าในการรายงานข้อมูลดังกล่าวจะค่อนข้างมีความซับซ้อนเนื่องจากข้อมูลส่วนมากจะมาจากการปล่อยคาร์บอนทางอ้อมจากกิจกรรมทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3 Emissions) ก็ตาม โดยที่ผ่านมา ภาคการเงินได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการให้เม็ดเงินสีเขียวเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งแม้ว่าสัดส่วนการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนในปัจจุบันอาจไม่ได้สูงมากแต่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลล่าสุด ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ Financing the Transition กับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตั้งเป้าการให้สินเชื่อในปี 2568 สูงถึง 100,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้าจาก brown เป็น less brown

อย่างไรก็ดี ลำพังแค่เม็ดเงินทุนสนับสนุนเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจนำพาให้ธุรกิจปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนผ่านสีเขียวได้สำเร็จ เพราะแม้ผู้ประกอบการจะเริ่มคุ้นเคยกับกติกาใหม่สู่โลกแห่งความยั่งยืน แต่ธุรกิจจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะ SMEs ยังคงขาดความรู้ความเข้าใจและการเข้าถึงเครื่องมือเทคโนโลยีที่ช่วยการเปลี่ยนผ่านสีเขียว ธนาคารในฐานะหนึ่งในเพื่อนคู่คิดของภาคธุรกิจจึงอาจเข้ามาช่วยลดช่องว่างระหว่างความตระหนักรู้และการลงมือของภาคธุรกิจเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านได้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้อนุญาตให้บริษัทในกลุ่มธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม (Green-related Business)ได้แก่การเป็นที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม การแนะนำสินค้าหรือบริการด้านสิ่งแวดล้อม การคำนวณและส่งข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และการรวบรวมโครงการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเพื่อขึ้นทะเบียน โดยกลุ่มธนาคารต้องบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม รวมถึงดูแลผู้รับบริการอย่างเป็นธรรม 

นอกจากนี้ เมื่อขยับออกมาดูความเคลื่อนไหวของภาคการเงินในระดับสากล จะเริ่มเห็นแนวโน้มของผู้กำกับดูแลภาคการธนาคารในต่างประเทศที่เริ่มอนุญาตให้ธนาคารเข้าไปมีบทบาทในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ธนาคารกลางของสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore) และผู้กำกับดูแลทางการเงินของญี่ปุ่น (Japan Financial Services Agency) ได้อนุญาตให้ธนาคารสามารถให้บริการต่าง ๆ ที่ช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน เช่น บริการที่ปรึกษาด้าน ESG บริการซื้อขายคาร์บอน (carbon trading) จึงเริ่มเห็น use case ของหลายธนาคารไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร OCBCและ Bank of Singapore หรือธนาคาร SMBC ในญี่ปุ่น ที่มีการให้บริการตามที่กล่าวเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจนอกเหนือจากการให้เงินทุนหรือสินเชื่อสีเขียวด้วย

จึงอาจกล่าวได้ว่า ในวันที่ถนนทุกสายกลายเป็นสีเขียว การเตรียมความพร้อมให้ภาคธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เพื่อรองรับกติกาสิ่งแวดล้อมโลก เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนความเสี่ยงจากการหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทานเป็นโอกาสทองในการแข่งขันระดับสากล ซึ่งหากทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญและร่วมมือกันเพื่อช่วยผลักดันก็จะช่วยให้ไทยสามารถเติบโตในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน


บทความโดย พิมพ์สิริ ตั้งยืนยง ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของ ธปท.

ข้อมูลอ้างอิง

1 Swiss Re Institute, ‘The economics of climate change: no action not an option’ (2021) 11 <https://www.swissre.com/dam/jcr:e73ee7c3-7f83-4c17-a2b8- 8ef23a8d3312/swiss-re-institute-expertise-publication-economics-of-climate-change.pdf> 2 United Nations Framework Convention on Climate Change, ‘Remark by Prime Minister of Thailand at COP 26’ (2021) 1
<https://unfccc.int/sites/default/files/resource/THAILAND_cop26cmp16cma3_HLS_EN.pdf> 3 Goldman Sachs, ‘A new era for ESG in Asia Pacific’ (2022) 3 <https://www.goldmansachs.com/pdfs/insights/pages/gs-research/gs-sustain-our-analysis-of-apac-esg-regulation/report- new-era.pdf> 4ธนาคารแห่งประเทศไทย, ‘คำกล่าวปาฐกถาพิเศษ งาน Sustainability Forum 2025 หัวข้อ Climate Finance toward SDGs โดย ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน’ (2024) 2 < https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/news-and-media/speeches/2024/speechdeputygov_03dec2024.pdf > 5ธนาคารแห่งประเทศไทย, ‘คำกล่าวปาฐกถางานสถาปนาสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทยครบรอบ 15 ปีโดย ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย’ (2023) 3 < https://www.bot.or.th/content/dam/b

Advertisment