กัลฟ์ เตรียมนำเข้า LNG อีก 2 ล้านตันในปี 2568 นี้ รองรับโรงไฟฟ้า 19 โครงการ

254
- Advertisment-

บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เตรียมนำเข้า LNG เพิ่มอีก 2 ล้านตัน ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 หวังรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC GPD HKP และ SPP 19 โครงการ พร้อมเผยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 มีแผนก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ในไตรมาส 4 ปี 2568 คาดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ไตรมาส 1 ปี 2572 รองรับการนำเข้า LNG ได้อีก 8 ล้านตันต่อปี ยืนยันผลประกอบการครึ่งหลังปี 2568 โตต่อเนื่อง แย้มมีแผนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่ม

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยในงาน Oppday Q2/2025 ของ GULF โดยระบุว่า คาดว่าช่วงครึ่งหลังปี 2568 บริษัทฯ จะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพิ่ม 30 ลำเรือ ประมาณ 2 ล้านตัน จากครึ่งแรกปี 2568 นำเข้าแล้ว 32 ลำเรือ ประมาณ 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC GPD HKP และ SPP 19 โครงการ ในส่วนของลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจก๊าซอย่างต่อเนื่อง และทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จาก shipper fee เพิ่มขึ้น

ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 ณ ปัจจุบัน ได้ดำเนินการถมทะเลเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ในไตรมาส 4 ปี 2568 คาดว่า จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ใน ไตรมาส 1 ปี 2572 ซึ่งจะรองรับการนำเข้า LNG ได้อีก 8 ล้านตันต่อปี

- Advertisment -

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงครึ่งหลังปี 2568 คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรก และผลักดันให้ผลการดำเนินงานทั้งปี 2568 บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีรายได้เติบโตขึ้นประมาณ 25% จากปี 2567 และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตขึ้น 40% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าใหม่ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ ที่มีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 7 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2568

รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในสหรัฐฯ ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่า Capacity Payment เฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือน มิ.ย. 2567 ถึง พ.ค. 2568 เป็น 270 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือน มิ.ย. 2568 ถึง พ.ค. 2569 และเพิ่มเป็น 329 เหรียญสหรัฐฯ ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาด Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาทต่อปี

อีกทั้งยังมีรายได้จากโครงการพลังงานลมต่างหากอีกจำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 437 เมกะวัตต์ จะเมื่อเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 จะมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น

ขณะที่ธุรกิจดิจิทัล ในส่วนของ AIS คาดว่าผลการดำเนินงานครึ่งหลังปี 2568 จะเติบโตขึ้นตามการเสนอแพ็คเกจคอนเท็นต์ต่างๆ ด้านกีฬา ที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายลงได้ สำหรับการประมูลคลื่น 210 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เกือบ 3,000 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ต้นทุนดอกเบี้ยในตลาดที่ลดลงยังส่งผลดีต่อบริษัทฯ ทำให้บริษัทฯ มีแผนออกหุ้นกู้อีกประมาณ 30,000 ล้านบาทในช่วงเดือน ก.ย. 2568 นี้ โดยจะเสนอให้กับนักลงทุนสถาบันฯ, นักลงทุนรายใหญ่และประชาชนทั่วไปด้วยเพื่อนำเงินไปชำระคืนหุ้นกู้ให้กับสถาบันการเงินและใช้สำหรับขยายธุรกิจต่อไป โดยจะออกหุ้นกู้ระยะเวลา 3 ปี, 5 ปี, 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งจะทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทฯ ลดลงได้อีก

ขณะที่ธุรกิจ data center ซึ่งบริษัทฯ ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS ได้เริ่มทยอยเปิดให้บริการเฟสแรก ขนาด 25 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2568 นี้ และมีแผนขยายการเติบโตเฟส 3-4 โดยตั้งเป้าหมายอยู่ที่ 200-300 เมกะวัตต์ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า

อีกทั้งโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเทียบเรือในช่วงปลายปี 2568 นี้ โดยหลังจากเปิดดำเนินการก็จะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

“สำหรับโอกาสใหม่ๆ บริษัทยังมองโอกาสการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าโซลาร์ฯ ,โซลาร์+แบตเตอรี่ และลม รวมถึงจะมีการพัฒนาโรงไฟฟ้าเขื่อนอีกมาก นอกจากนี้ยังศึกษาโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในสหรัฐฯ อีกหลายโครงการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับบริษัทฯ อย่างไรก็ตามจากโครงการต่างๆ ที่มีอยู่ในมือ จะทยอย COD ต่อเนื่องทุกปีและสร้างการเติบโตด้านรายได้ให้กับบริษัทฯ ต่อเนื่องไปอีก 8-9 ปีข้างหน้า ฉะนั้นเป้าหมายที่เคยคาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโตขึ้นเฉลี่ย 15-20% ต่อปีภายใน 5 ปีนั้น เป็นไปได้อย่างแน่นอน”

Advertisment