คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ปรับลดเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนฯ ลง 25 สตางค์ต่อลิตร เหลือเรียกเก็บเพียง 15 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น ส่งผลรายรับลดลงประมาณ 30 ล้านบาทต่อวัน หลังราคาน้ำมันผันผวนปรับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ภาพรวมกองทุนฯ ติดลบลดลงเหลือ -28,526 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 ได้มีมติปรับลดการเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง 25 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมเรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซล และดีเซล B20 อยู่ 40 สตางค์ต่อลิตร ได้ปรับลดเหลือเพียง 15 สตางค์ต่อลิตร ส่วนผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียม เดิมเก็บอยู่ 1.90 บาทต่อลิตร เหลือ 1.65 บาทต่อลิตร หลังราคาน้ำมันโลกขยับขึ้นเล็กน้อย
ส่วนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ยังเรียกเก็บเงินเพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เท่าเดิม โดยผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ถูกเรียกเก็บ 3 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 1.90 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 3.60 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ส่งผลให้กองทุนฯ มีรายรับลดลง 30.89 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมมีรายรับ 173.52 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 5,205 ล้านบาทต่อเดือน) เหลือรายรับ 142.63 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 4,278 ล้านบาทต่อเดือน) ซึ่งรายรับนี้มาจากการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดได้ 122.23 ล้านบาทต่อวัน และผู้ประกอบการโรงแยกก๊าซ 20.40 ล้านบาทต่อวัน
โดยภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดที่รายงานโดยสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ณ วันที่ 3 ส.ค. 2568 กองทุนฯ ติดลบเหลือ -28,526 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากบัญชี LPG ติดลบรวมถึง -43,585 ล้านบาท ขณะที่บัญชีน้ำมันมีรายรับเป็นบวกอยู่ 15,059 ล้านบาท
สำหรับหนี้เงินกู้สถาบันการเงินที่กองทุนฯ กู้ไว้รวม 105,333 ล้านบาท ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันเหลือหนี้อยู่ 53,471 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยจ่ายเงินต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกรอบเวลาที่กู้มาแต่ละครั้ง โดยในเดือน ต.ค. 2568 นี้จะต้องจ่ายหนี้เงินต้นสูงสุดประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะทยอยลดลง และในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 250 ล้านบาทต่อเดือนด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดตามกำหนดในปี 2572
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเกือบ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แต่ในช่วงเดือน มิ.ย. 2568 เกิดภาวะสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้น จนกองทุนฯ ต้องนำเงินไปพยุงราคาดีเซลอีกครั้ง และทำให้รายรับของกองทุนฯ ลดลง จากเดิมคาดการณ์ว่ากองทุนฯ จะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2568 ล่าสุดคาดว่าจะเป็นบวกได้ประมาณเดือน ธ.ค. 2568 นี้ เนื่องจากกองทุนฯ มีรายรับประมาณ 4 พันล้านบาทต่อเดือน ขณะที่เงินกองทุนฯ ปัจจุบันติดลบอยู่ 28,526 ล้านบาท
สำหรับราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 4 ส.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 70.87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาเพิ่มขึ้น 0.04 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 67.42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.11 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 69.70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.03 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ด้านค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 4 ส.ค. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 3.22 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 2.88 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 2.94 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 2.99 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 4.25 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.88 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-4 ส.ค. 2568 อยู่ที่ 2.16 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)