สกนช. คาดราคาน้ำมันปี 2569 ยังทรงตัวระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

33
- Advertisment-

สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) คาดราคาน้ำมันปี 2569 ทรงตัวระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล พร้อมระบุ กองทุนน้ำมันฯ ฟื้นตัวติดลบต่ำสุดในรอบ 3 ปี คาดเป็นบวกภายในสิ้นปี 2568 นี้ มั่นใจชำระหนี้เงินกู้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมเดินหน้าตามนโยบาย Quick Big Win ดูแลราคาพลังงานเพื่อประชาชน

นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า สกนช. คาดว่าทิศทางราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2569 จะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2568 โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 75-85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และก๊าซหุงต้ม (LPG) เฉลี่ยอยู่ที่ 460-500 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2568 เป็นปีที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงผันผวนค่อนข้างมาก แต่โดยรวมราคายังอยู่ในระดับไม่ได้สูงมากนัก ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 30 ต.ค. 2568 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 70.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 87.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 80.98 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และก๊าซ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 548.68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2568 ราคาจะไม่ต่างจากปัจจุบันมากนัก และเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2567 ที่ผ่านมา ถือว่าราคาปรับลดลง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 79.57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 96.19 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 92.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และก๊าซ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 599.83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

- Advertisment -

ด้านเหตุการณ์สำคัญและปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดปี 2568 ที่ผ่านมา ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว การเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+  และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะกรณี “อิสราเอล-อิหร่าน” ตลอดจนสงครามระหว่าง ”รัสเซีย-ยูเครน” ที่ยังไม่สงบ ซึ่งหากไม่มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ คาดว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยรวมตลอดทั้งปี 2568 ถือว่ายังคงไม่สูงมากนัก  

ส่วนฐานะกองทุนน้ำมันฯ มีความก้าวหน้าในการฟื้นฟูฐานะทางการเงินอย่างชัดเจน จากเดิมวันที่ 29 ก.ย. 2567 ติดลบ 99,087 ล้านบาท และมีภาระหนี้เงินกู้ยืมอยู่ที่ 99,087 ล้านบาท ล่าสุด ณ วันที่ 2 พ.ย. 2568 กองทุนน้ำมันฯ ติดลบเหลือเพียง 13,274 ล้านบาท (แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันบวก อยู่ที่ 27,965 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ อยู่ที่ 41,239 ล้านบาท) และมีหนี้เงินกู้ยืมอยู่ที่ 31,804 ล้านบาท ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี

อย่างไรก็ตามปัจจุบันกองทุนฯ มีรายรับรวม 63.32 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 1,900 ล้านบาทต่อเดือน )แบ่งเป็นรายรับจากบัญชีน้ำมัน 26.20 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 786 ล้านบาทต่อเดือน ) และรายรับจากบัญชี LPG 31.12 ล้านบาทต่อวัน  (ประมาณ 933 ล้านบาทต่อเดือน ) ทั้งนี้คาดว่าเงินกองทุนฯ จะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณปลายปี 2568 นี้

ผลการดำเนินงานที่สำคัญของสำนักงานกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงปี 2568 มีดังนี้

1.ปรับลดราคาน้ำมันดีเซล และเบนซิน

ในช่วงปลายเดือนมีนาคม และต้นเดือนเมษายน รวมถึงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กองทุนน้ำมันฯ ได้ลดการจัดเก็บเงินในกลุ่มน้ำมันดีเซล และเบนซิน 2 ครั้ง ๆ ละ 0.50 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 1 บาทต่อลิตร เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน และกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากนี้เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพให้กับประชาชนตามนโยบาย Quick Big Win ได้มีการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ และขอความร่วมมือจากผู้ค้าเพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 1 บาทต่อลิตร และเบนซินลง 0.80 บาทต่อลิตร 

2. ตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในช่วงสงครามระหว่าง “อิสราเอล-อิหร่าน”

จากเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน หรือ “สงคราม 12 วัน” กบน.มีมติปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มน้ำมันเบนซิน และดีเซล รวม 5 ครั้งใน 1 สัปดาห์ กลุ่มน้ำมันดีเซลจากเดิมจัดเก็บอยู่ที่ 2.40 บาท/ลิตร เป็นการเข้าช่วยชดเชยอยู่ที่ 0.65 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงไม่เกิน 32 บาท/ลิตร

3. ปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรองรับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต 

กองทุนน้ำมันฯ ได้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรองรับการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากราคาขายปลีก โดยดำเนินการแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิต และภาษีเพื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามมติคณะรัฐมนตรี และส่วนที่ 2 พิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสม เพื่อคงเสถียรภาพราคาหน้าปั๊ม

4. ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไม่เกิน 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม

กองทุนน้ำมันฯ ได้ตรึงราคาขายปลีก LPG ไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติถึง 2 ครั้ง เพื่อขยายระยะเวลาตรึงราคาออกไปและล่าสุดคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ก็ได้มีมติตรึงราคา LPG ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัมออกไปจนถึงสิ้นเดือน ธ.ค. 2568 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

 “ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของกองทุนน้ำมันฯ ฐานะการเงินฟื้นตัวชัดเจน และดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และความมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานให้กับประชาชน ซึ่งในปี 2568 นี้ หากราคาน้ำมันตลาดโลกยังทรงตัวในระดับปัจจุบัน คาดว่ากองทุนน้ำมันฯ จะมีฐานะเป็นบวกได้ภายในสิ้นปี และเชื่อมั่นว่าจะสามารถชำระหนี้เงินกู้ธนาคารทั้งหมดได้ตามระยะเวลาที่กำหนดภายในปี 2572 อย่างแน่นอน หรืออาจจะเร็วกว่าที่กำหนดหากราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ผันผวนมากจนเกินไป

ทั้งนี้ ยืนยันว่ากองทุนน้ำมันฯ ดำเนินงานด้วยหลักการ “เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้” และเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพลังงาน เพื่อดูแลราคาพลังงานให้เป็นธรรม และยั่งยืนต่อประชาชน และประเทศชาติ ภายใต้การบริหารงานของนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง”นายพรชัย กล่าว

Advertisment