GC เตรียมผุดโรงงานรีไซเคิลพลาสติกครบวงจรใหญ่สุดในประเทศ

- Advertisment-
GC เตรียมตั้งโรงงานรีไซเคิลพลาสติกครบวงจรระดับสากลขนาดใหญ่สุดในประเทศ กำลังการผลิต 3-4 หมื่นตันต่อปี คาดเริ่มก่อสร้างปี 2562 ใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท เผยวางแผน 5 ปี ยกเลิกผลิตเม็ดพลาสติกสำหรับผลิตถุงหูหิ้วใช้แล้วทิ้งจำนวน 1.5 แสนตันต่อปี โดยจะเปลี่ยนไปผลิตเม็ดพลาสติกเกรดหนาขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ระบุผลประกอบการ 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 36,008 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่าบริษัทฯ เตรียมลงทุนตั้งโรงงานรีไซเคิลพลาสติกแบบครบวงจรระดับสากล ขนาด 3-4 หมื่นตันต่อปี ซึ่งถือเป็นโรงงานรีไซเคิลขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจะคัดพลาสติกที่ไม่ใช้แล้วและมีคุณภาพดีเหมาะกับการรีไซเคิล มาผลิตเป็นเม็ดพลาสติก และนำไปจำหน่ายให้ลูกค้าขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท และจะร่วมกับพันธมิตรต่างชาติ คาดเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2562 และสร้างเสร็จในปี 2563 ทั้งนี้ เพื่อต้องการดูแลพลาสติกแบบครบวงจร ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสังคมและสิ่งแวดล้อม
ด้านนางวราวรรณ ทิพพาวนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่กิจการองค์กร GC กล่าวว่า สำหรับโรงงานรีไซเคิลขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งบริษัทฯ เตรียมสร้างขึ้นนั้น จะตั้งขึ้นที่ จ.ระยอง โดยจะรวบรวมพลาสติกรีไซเคิล จากผู้จัดเก็บขยะรายย่อย รวมทั้งได้เริ่มหารือกับผู้ประกอบการจัดเก็บขยะรายใหญ่ของไทยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาความร่วมมือต่อไป พร้อมกันนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับโรงงานดังกล่าว รวมถึงการหาผู้ร่วมทุน การจัดหาวัตถุดิบที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะชัดเจนภายในต้นปี 2562
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  GC ได้วางแผนยกเลิกการผลิตเม็ดพลาสติก ชนิดเกรดที่ใช้สำหรับผลิตถุงพลาสติกหูหิ้ว จำนวน 1.5 แสนตันต่อปี ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2562-2566) จากกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกทั้งหมดทุกชนิด 2 ล้านตันต่อปี เนื่องจากปัจจุบันหลายหน่วยงานรณรงค์ยกเลิกใช้ถุงหูหิ้วใช้แล้วทิ้ง เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดย GC จะหันไปผลิตเม็ดพลาสติก เกรดที่ใช้ผลิตพลาสติกชนิดหนาขึ้น เช่น ท่อพลาสติก เก้าอี้ และสายอุปกรณ์การสื่อสาร เป็นต้น ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าได้มากขึ้นด้วย
ส่วนผลดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปี 2561 มีกำไรสุทธิรวม 36,008 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยในไตรมาส 3/2561 ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการปรับลดลงเล็กน้อยจาก ไตรมาส 3/2560 โดยในส่วนของธุรกิจโพลิเมอร์มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีกำลังการผลิตใหม่จากโรงงาน LLDPE กำลังการผลิตจำนวน 400,000 ตันต่อปี ที่ได้เริ่มการผลิตในเชิงพาณิชย์ในเดือนมี.ค. 2561 ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์เอทิลีนออกไซค์มีการปรับตัวลดลงจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการไตรมาส 2/2561 พบว่าผลประกอบการในไตรมาสนี้ของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยเป็นผลจากระดับราคาผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับปริมาณการขายโอเลฟินส์ที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานโอเลฟินส์ 1
สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์มีกำไรเพิ่มขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปี 2560 และจากไตรมาส 2 ของปี 2561  ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนเป็นหลักและปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเนื่องจากการที่มีการหยุดซ่อมบำรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในปี 2560 ที่ผ่านมา
สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลงจากไตรมาส 3/2560 เป็นผลจากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ที่ลดลงเป็นหลัก แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันเตา
ทั้งนี้ในส่วนของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของธุรกิจอะคริโลไนไตรล์ (AN) ธุรกิจพีวีซี และผลประกอบการที่ดีขึ้นในส่วนของธุรกิจไบโอพลาสติกที่บริษัทฯ ดำเนินการผ่านบริษัท Natureworks ซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
สำหรับในปี 2562 คาดว่ายอดขายจะใกล้เคียงกับปี 2561 นี้ เนื่องจากเติบโตตามความต้องการใช้น้ำมัน แต่ต้องจับตาปัญหาการเมืองระหว่างประเทศเป็นพิเศษ โดยเฉพาะปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งหากไม่รุนแรงจนส่งผลกระทบขยายไปทั่วโลก ก็จะไม่มีปัญหากับธุรกิจของ GC แต่อย่างใด โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบโลกในปี 2562 จะอยู่ระดับ 75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สูงกว่าเฉลี่ยปี 2561 ที่อยู่ระดับ 72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
Advertisment

- Advertisment -.