BCPG ตั้งเป้ารายได้โต 2 เท่าในปี 2571

39
- Advertisment-

บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน)  หรือ BCPG ผู้นำด้านพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดกลยุทธ์ “The Next Decade: Broadening Horizons of Sustainability” ตั้งเป้า EBITDA เติบโตเป็น 2 เท่า ภายในปี 2571 พร้อมตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 7,000 ล้านบาท ในปี 2569 เดินหน้าโครงการที่อยู่ในพอร์ตให้แล้วเสร็จตามแผน และมีศักยภาพในการลงทุนเพิ่มเติมในช่วงปี 2570-2571 ไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจยุคใหม่

นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บีซีพีจี ผู้นำด้านพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้เปิดแผนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ภายใต้แนวคิด “The Next Decade: Broadening Horizons of Sustainability” ต่อยอดจากความสำเร็จในธุรกิจพลังงานสะอาด สู่การสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานแห่งความยั่งยืนในทุกมิติ” เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว พร้อมตั้งเป้า EBITDA เติบโตเป็น 2 เท่า ภายในปี 2571 และมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทในดัชนี SET 50 

โดยในปี 2569 บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 7,000 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าโครงการที่อยู่ในพอร์ตให้แล้วเสร็จตามแผน และมีศักยภาพในการลงทุนเพิ่มเติม  ในช่วงปี 2570-2571 ไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจยุคใหม่

- Advertisment -

“การเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านรายได้และผลกำไร ประกอบกับพอร์ตสินทรัพย์ที่ขยายสู่ระดับภูมิภาค  และฐานรายได้ที่มีความมั่นคงจากสัญญาระยะยาว ทำให้บีซีพีจีมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับการยกระดับสู่บริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่ม SET 50  ได้อย่างยั่งยืน โดยมีทั้งอัตราการเติบโตของ EBITDA ที่ชัดเจน กระแสเงินสดสม่ำเสมอ และโครงสร้างธุรกิจที่มีศักยภาพในการต่อยอดสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน  ซึ่งจะช่วยเสริมเสถียรภาพและมูลค่าตลาดของบริษัทฯ ในระยะยาว” นายรวีกล่าว

สำหรับปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ และก๊าซธรรมชาติ ครอบคลุมประเทศไทย สปป.ลาว เวียดนาม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสหรัฐอเมริกา รวมกำลังการผลิต กว่า 2,000 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งช่วยสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด

โครงการสำคัญ ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4 แห่งในสหรัฐฯ ที่ดำเนินการในตลาด PJM ได้รับค่าความพร้อมจ่ายในระดับสูงต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ที่จำหน่ายไฟฟ้าให้เวียดนามซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูง รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมมอนซูน ขนาด 600 เมกะวัตต์ ใน สปป. ลาว ซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าเวียดนาม ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อปลายไตรมาสที่ผ่านมา  ต่างเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้บริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดด

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนผ่านโครงการพลังงานลมในเวียดนาม 2 โครงการ รวมกำลังการผลิต 99 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Private PPA) ในประเทศไทย ซึ่งภายในปีนี้จะมีกำลังผลิตรวม 43.6 เมกะวัตต์ เติบโตกว่าเท่าตัว และมีเป้าหมายขยายไปถึง      100 เมกะวัตต์ ตลอดจนขยายการพัฒนาโรงไฟฟ้าในไต้หวัน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มก่อสร้างสถานีและสายส่งขนาด  200 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าในโครงการแล้ว ซึ่งโครงการเหล่านี้จะสามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงเมื่อเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบ สนับสนุนรายได้ระยะยาวและกระจายความเสี่ยงในการดำเนินการ 

โดยพอร์ตโฟลิโอของบีซีพีจีในปัจจุบันจึงมีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะเร่งการเติบโตของ EBITDA เป็น  7,000 ล้านบาท ภายในปี 2571

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรก่อนรายการพิเศษ 711.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 626.0 ล้านบาท ซึ่งกำไรก่อนรายการพิเศษดังกล่าวถือเป็น “จุดสูงสุดใหม่” ของบริษัทฯ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจ และศักยภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์พลังงานในหลายประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานยุทธศาสตร์ บริษัทฯ มุ่งเน้นลงทุนใน 3 ธุรกิจ ได้แก่ ศูนย์ข้อมูล (Data Center)   เพื่อรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีเศรษฐกิจข้อมูล (Data Economy) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)  ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าสีเขียว การรุกเข้าสู่ธุรกิจนี้ ช่วยต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดของบีซีพีจี และส่งเสริมให้บริษัทฯ ก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่าสูง เพิ่มโอกาสการเติบโต และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ฐานรายได้ของบริษัทฯ ในระยะยาว พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลระดับภูมิภาค (Regional Data Hub) ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ อาทิ ระบบบริหารจัดการน้ำและน้ำเย็น เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำของ Data Center ที่ต้องการระบบน้ำเพื่อความเย็นอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ และธุรกิจรีไซเคิล อาทิ ธุรกิจรีไซเคิลแผงโซลาร์ (Solar Waste Management) ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งบีซีพีจี มีแผนริเริ่มศึกษาความเป็นไปได้จากการบริหารจัดการแผงโซลาร์ของบริษัทฯ เพื่อสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทฯ และประเทศ ฯลฯ

การต่อยอดสู่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนทางธุรกิจและคุณค่าทางสังคม โดยบริษัทฯ ได้ยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs ไม่เพียงเป้าหมายที่ 7: สร้างหลักประกันว่าทุกคนจะเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ในราคาที่สามารถซื้อหาได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน (Affordable and Clean Energy) แต่ยังมุ่งสู่เป้าหมายที่ 6: สร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ให้มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีสภาพพร้อมใช้สำหรับทุกคน (Clean Water and Sanitation) เป้าหมายที่ 9: สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม (Industry, Innovation and Infrastructure) และเป้าหมายที่ 12: สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Responsible Consumption and Production) เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม

“นับจากนี้ บีซีพีจีจะไม่หยุดอยู่แค่การผลิตพลังงานสะอาด แต่จะก้าวสู่บทใหม่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ และส่งต่อความยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป” นายรวีกล่าว

สำหรับบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นผู้ประกอบการและลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ และก๊าซธรรมชาติ ในประเทศไทย  สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสหรัฐอเมริกา มีกำลังการผลิตรวม 2,027.7 เมกะวัตต์ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เริ่มทำการตลาดกับผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น อาทิ มหาวิทยาลัย นิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ  เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบันบริษัทฯ ได้พัฒนาและให้บริการแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรในประเทศไทย สามารถคำนวณ และวางแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ทุกองค์กรได้มีส่วนปกป้องและดูแลโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน 

Advertisment