ปตท. กางแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอย ตั้งเป้า EBITDA เพิ่ม 20,000 ล้านบาท

184
- Advertisment-

ปตท.เตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอย เดินหน้าลดค่าใช้จ่าย ตุนเงินสด เพิ่มสภาพคล่อง แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ปี 2568 กว่า 20,000 ล้านบาท คาดปี 2568 นี้ ได้ข้อสรุปพันธมิตรร่วมลงทุนธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ  ปตท. เปิดเผยว่าความท้าทายในปี 2568 ทั้งมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ที่ส่งผลกระทบมายังประเทศไทย ทั้งในแง่ของความไม่แน่นอนทางการค้า ความไม่แน่นอนของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาครัฐ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม ขณะที่ต้นทุนราคาพลังงานมีความผันผวน ทั้งราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ปรับลดลง ส่วนราคาปิโตรเคมียังดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตามตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ปตท. ได้ดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ใน 2 เรื่องหลัก คือ เน้นธุรกิจ Hydrocarbon ที่ถนัด ปรับพอร์ตธุรกิจสู่สมดุลใหม่ และเร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ส่งผลให้การดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 ปตท. มีผลกำไรสุทธิ 23,315 ล้านบาท นำส่งรายได้เข้ารัฐในรูปแบบภาษี จำนวน 7,256 ล้านบาท

- Advertisment -

ทั้งนี้หลังจาก ปตท. ได้ปรับกลยุทธ์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ถือว่ากลยุทธ์เดินมาถูกทาง สะท้อนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก นอกจากนี้กลุ่ม ปตท. พร้อมเร่งสร้างความแข็งแรงภายใน สร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการสำคัญได้แก่

โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็น PTT Group Synergy บริหารงานแบบ Centralized Supply and Market Management มีเป้าหมาย 3,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2571, โครงการ MissionX ยกระดับ Operational Excellence เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2570 มีแผนงานชัดเจนและเป้าหมายเป็นรูปธรรมซึ่งเริ่มดำเนินการแล้ว ,โครงการ Axis นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะสร้างมูลค่าได้อีก 11,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2572

รวมถึงการทำ Asset Monetization ของกลุ่ม ปตท. ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการรักษาวินัยทางการเงินและการลงทุนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารสภาพคล่องกระแสเงินสดภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน

“ในปี 2568 ปตท.ได้ตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 ล้านบาท ผ่านการปรับ Asset Portfolio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงในระยะยาว แสวงหาโอกาสเพื่อเพิ่มกำไร กว่า 8,000 ล้านบาท ให้ความสำคัญกับการแปลงทรัพย์สินเป็นกำไรเนื่องจากในกลุ่มมีทรัพย์สินที่อาจจะทำกำไรได้ไม่เหมาะสมก็นำส่วนนี้มาแปลงเป็นทุนประมาณ 15,000 ล้านบาท”

สำหรับความคืบหน้าการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่สำคัญ ในรอบ 1 ปี ประกอบด้วย การมุ่งเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ โดย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้เพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งอาทิตย์ เป็น 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการสินภูฮ่อม แหล่งปิโตรเลียมบนบกที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ช่วยให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทยเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งขยายการเติบโตของธุรกิจปัจจุบันในต่างประเทศ โดยเข้าถือหุ้น 10% ใน Ghasha หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

รวมทั้ง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่มีการขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศอินเดียและไต้หวัน สอดรับกับความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่เติบโตพร้อมกันนี้ยังสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค โดยใช้จุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมนำเข้า LNG รวมปริมาณ 11 ล้านตันต่อปี ครอบคลุมทั้งสัญญาระยะยาวและสัญญาซื้อขายแบบ Spot LNG Hub ของภูมิภาค

อย่างไรก็ตามธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีความท้าทายจาก Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป จึงต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาว โดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC จะนำเข้าอีเทนจากสหรัฐอเมริกา ปริมาณ 400,000 ตันต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ  การสร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ supply & market ร่วมกัน

นอกจากนี้ ปตท. ยังเร่งแสวงหา Strategic Partner เพื่อเสริมแกร่งให้ธุรกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีกับ ปตท. และ flagship โดย ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ปรับพอร์ตธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยประเมินธุรกิจใน 2 มุม คือ 1. ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractiveness) และ 2. ปตท. มี Right to Play มีความถนัดหรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และมี Partner ที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง

“การหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาเสริมแกร่งในแต่ละธุรกิจ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรหลายราย เช่น กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ก็มีผู้ประกอบการรายใหญ่ให้ความสนใจ เช่นเดียวกับ อินโนบิก ก็มีผู้สนใจและอยู่ระหว่างเจรจา คาดว่า จะได้ข้อสรุปชัดเจนในปีนี้”

อย่างไรก็ตาม ปตท. มีแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้

1. ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV Value Chain ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจอัดประจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Horizon Plus และธุรกิจที่มีความเสี่ยง

2. ธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่ง ปตท. จะออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของกลุ่ม ปตท. มุ่งเน้นเฉพาะที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก และสามารถสร้าง Synergy ภายในกลุ่มได้ 

3. ธุรกิจ Life Science ปรับพอร์ตมุ่งเน้นเฉพาะ Pharmaceutical และ Nutrition มีแผนการเติบโตที่ชัดเจนร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ และสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-funding)

นอกจากนี้ ยังมีความก้าวหน้าในการศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงพัฒนา CCS Hub Model เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลเทคโนโลยี CCS ระดับประเทศในอนาคต สำหรับการศึกษาด้านธุรกิจไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรทั้งในด้านการจัดหาไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ และการประยุกต์ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลเชิงธุรกิจ ตลอดจนสนับสนุนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ของประเทศไทยในอนาคต

ขณะเดียวกัน ปตท. ยังมีการบริหารทางการเงินที่เป็นเลิศ โดยมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดนับตั้งแต่ ปตท. เข้าตลาดฯ นอกจากนี้ในปี 2568 ปตท. ได้มีการซื้อหุ้นคืนเพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นด้วย

นายคงกระพัน กล่าวว่า จากสัญญาณสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย ปตท. จึงได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกจัดตั้งวอร์รูม เตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอยครอบคลุมการดำเนินงานใน 5 ด้าน ได้แก่

1. Strategy ทบทวนกลยุทธ์เดิมพร้อมพิจารณาความท้าทายใหม่ที่จะเข้ามากระทบ พบว่ากลยุทธ์กลุ่ม ปตท. มาถูกทาง เหมาะสม สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายจากเรื่องสงครามการค้าได้ เพียงแต่บางเรื่องต้องเร่งให้เร็วขึ้น เช่น การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท.

2. Financial Management รักษาวินัยการเงิน บริหารต้นทุนการเงิน เสริมสภาพคล่องกระแสเงินสด รักษาระดับ Credit Rating

3. Supply Chain & Customer ดูแลคู่ค้า ลูกค้า เพื่อสร้างความต่อเนื่องตลอด Supply Chain พร้อมเร่งดำเนินโครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม

4. Project Management ทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการและการลงทุน โดยต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) ของ flagship 

5. Communication สื่อสารและสร้างความเข้าใจการดำเนินธุรกิจแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง

ส่วนแผนของรัฐบาลในการเจรจาต่อรองมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ นั้น ทาง ปตท. ได้ดำเนินการประมาณ 2-3 โครงการ ได้แก่ นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว LNG ประมาณ  1 ล้านตัน มูลค่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ระยะเวลา 15 ปี  ขณะที่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ได้ทำสัญญาซื้อขายปิโตรเคมี (อีเทน) จำนวน 400,000 ตัน มูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  ระยะเวลา 15 ปี

ส่วนความเป็นไปได้ในการเข้าไปลงทุน โครงการ Alaska LNG นั้น ปตท.มองว่า มีความน่าสนใจ เพราะพื้นที่ตั้งแหล่งก๊าซฯ ถือว่าใกล้กว่าแหล่งอื่นในสหรัฐฯ สูตรราคามีความยืดหยุ่น ทันสมัย ซึ่งโครงการนี้ ปตท.อาจจะเข้าไปซื้อก๊าซฯ แต่จะไม่ใช่ลักษณะการเข้าไปลงทุน

Advertisment