ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป เนื่องจากไทยผลิตน้ำมันดิบได้เองในประเทศเพียงประมาณ 10% ของปริมาณการใช้เท่านั้น จึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบส่วนที่ขาดอีกกว่า 90% จากแหล่งต่างๆ ทั้งตะวันออกกลาง ตะวันออกไกล และแหล่งอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ลิเบีย และออสเตรเลีย
จากข้อมูลในปี 2567 พบว่าประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบได้ราว 152,000 บาร์เรลต่อวัน และต้องนำเข้าน้ำมันดิบอีกประมาณ 981,548 บาร์เรลต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานภายในประเทศ อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีการส่งออกน้ำมันบ้าง โดยบางส่วนเป็นน้ำมันดิบที่มีคุณภาพไม่เหมาะกับโรงกลั่นในประเทศ จึงจำเป็นต้องส่งออก และบางส่วนเป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่กลั่นได้เกินความต้องการใช้ในประเทศ ก็จะส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
และเนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความอ่อนไหวด้านราคาสูง มักเกิดการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น สถานการณ์ในตลาดโลก ประเทศไทยในฐานะผู้นำเข้าและไม่มีนโยบายควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันให้คงที่ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกับความผันผวนของราคาในตลาดโลก ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศจึงมีการปรับขึ้นลงตามต้นทุนการนำเข้า รวมปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้โครงสร้างราคาน้ำมันที่สะท้อนนโยบายการบริหารจัดการภายในประเทศ ซึ่งเมื่อ X-Ray ดูโครงสร้างราคาน้ำมัน จะพบว่ามีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่สำคัญประกอบกันอยู่ 3 ด้าน ได้แก่
1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน อ้างอิงราคาตลาดสิงคโปร์เพราะเป็นตลาดสำคัญในเอเชีย คิดเป็นสัดส่วนอยู่ในราคาน้ำมันถึง 60-70%
2. ภาษีและกองทุน ซึ่งประกอบด้วยภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คิดเป็นสัดส่วนรวมกันประมาณ 25-30% ของราคาน้ำมัน โดยหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้กำหนดและบริหารอัตราการจัดเก็บ
3. ค่าการตลาด ซึ่งไม่ใช่กำไรสุทธิ แต่เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ใช้ในการขายน้ำมันที่สถานีบริการ เช่น ค่าพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่ากิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น ส่วนลด โปรโมชั่นต่างๆ ของเจ้าของสถานีบริการและผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งส่วนนี้คิดเป็น 5% ของราคาน้ำมัน
ภายใต้โครงสร้างราคาน้ำมันดังกล่าว หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งมีบทบาทและหน้าที่ในการกำหนดและบริหารอัตราการจัดเก็บตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ กรมสรรพสามิต มีหน้าที่เก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงและส่งเงินเข้ากระทรวงการคลังเพื่อนำไปเป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ กรมสรรพสามิตยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดเก็บภาษีเทศบาล โดยจะคิดในอัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต และนำส่งให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อนำไปเป็นงบประมาณสำหรับบำรุงท้องถิ่น ส่วนกรมสรรพากร มีหน้าที่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นภาษีการบริโภคที่จัดเก็บเมื่อมีการขายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย และนำส่งกระทรวงการคลังเพื่อนำไปเป็นงบประมาณของประเทศ
สำหรับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีการจัดเก็บเงินจากน้ำมันทุกชนิดส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น บางช่วงที่ราคาน้ำมันโลกปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนส่งผลกระทบต่อประชาชน ทางกองทุนฯ จะดึงเงินออกมาเพื่อพยุงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไว้ให้เกิดความสมดุล และเมื่อราคาน้ำมันโลกปรับลดลง ก็จะเรียกเก็บเงินส่งคืนกองทุนฯ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันไม่ลดลง หรือลดลงช้ากว่าตลาดโลกในช่วงนั้นๆ เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค ส่วนกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะจัดเก็บเงินเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน

เนื่องจากการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการน้ำมันภายในประเทศและโครงสร้างราคาน้ำมันที่แตกต่างกัน รวมทั้งมาตรการทางภาษีและระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงาน รวมถึงเกรดน้ำมันที่มีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันในแต่ละประเทศแตกต่างกันด้วย ทั้งนี้เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน และอีกหลายประเทศที่เป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจของโลก พบว่าราคาน้ำมันในประเทศไทยอยู่ในระดับกลางๆ คือ ไม่ได้เป็นประเทศที่มีราคาน้ำมันแพงสุดและไม่ใช่ประเทศที่ราคาน้ำมันถูกที่สุด
โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) วันที่ 1 ก.ย. 2568 ได้เผยแพร่ข้อมูลราคาน้ำมันในอาเซียนไว้ ดังนี้

จะเห็นได้ว่าโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทย ยังสามารถใช้ดูแลราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้เกิดเสถียรภาพ และราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน อย่างไรก็ตามน้ำมันยังเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ราคาจะปรับเปลี่ยนบ่อยครั้งตามกลไกราคาตลาดโลก ฉะนั้นการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพสูงสุดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องร่วมมือกันทำต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ประเทศประหยัดเงินตราจากการนำเข้าน้ำมันลงได้