- Advertisment-

การประกาศเร่งเป้าหมาย Net Zero ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จาก ปี 2065 ขยับเข้ามาเป็นปี 2050 เพื่อหวังยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมซึ่งปล่อยคาร์บอนสูง และภาคพลังงานที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ต้องเร่งปรับตัวไปสู่การลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ

ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงาน มีโครงการที่สำคัญซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศอยู่หลายโครงการ เช่น โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ที่ประเมินว่าช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้กว่า 0.80 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี  โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร กำหนดเป้าหมายติดตั้ง 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่ 7 แสนไร่ มีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 0.06 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี โครงการโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเขื่อนภูมิพล 778 เมกะวัตต์ เขื่อนศรีนครินทร์ 770 เมกะวัตต์ และเขื่อนวชิราลงกรณ 90 เมกะวัตต์ คาดว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้ 0.82 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี และโครงการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ที่ถือเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะลงทุนโดย ปตท.สผ. บริษัทลูกแกนนำของกลุ่ม ปตท. ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ภายในปี 2577 และระหว่างปี 2577 ถึงปี 2607 (30 ปี) จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 6.4 ล้านตันต่อปี

- Advertisment -

โครงการ CCS ของ ปตท.สผ.​ https://www.pttep.com/th/our-company/ep-net-zero-2050/carbon-capture-and-storage

ทั้งนี้ ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่ หรือ PDP ฉบับใหม่ ที่อยู่ในระหว่างการจัดทำ และจะเป็นแผนที่บ่งบอกชัดเจนถึงการมุ่งไปสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 นั้น การผลิตไฟฟ้าจะลดสัดส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปล่อยคาร์บอนฯ มาเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้อย่างไร? โดยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ไฮโดรเจน โอกาสทางเศรษฐกิจและความอยู่รอดของประเทศไทย” ที่จัดขึ้นโดย คณะกรรมาธิการพลังงาน วุฒิสภา โดยระบุว่าไฮโดรเจนเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่สำคัญในอนาคตที่จะถูกบรรจุไว้ในแผน PDP ฉบับใหม่ โดยจะเริ่มต้นผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติ 5% เพื่อการผลิตไฟฟ้า ในปี ค.ศ. 2030

แผน PDP ฉบับใหม่ยังจะมีการบรรจุโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดจิ๋ว (Small Modular Reactor หรือ SMR) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอน เอาไว้ด้วย โดยทั้ง กฟผ. และบริษัทลูก คือ ราช กรุ๊ป และ เอ็กโก้กรุ๊ป และบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นๆ ได้แก่ GPSC บริษัท Flagship ด้านธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. บ้านปู และ  บี.กริม เพาเวอร์ ต่างเตรียมความพร้อมองค์ความรู้และติดตามการพัฒนาเทคโนโลยี SMR อย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม ในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่ได้กำหนดเป้าหมาย Net Zero 2050 ผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ มีความรู้และความเข้าใจมากพอสมควร ว่าเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่พัฒนาขึ้นมา ทั้งการใช้ไฮโดรเจน และ SMR ที่ไม่ปล่อยคาร์บอนนั้น มาพร้อมกับต้นทุนราคาค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่ยินดีที่จะจ่ายค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้นด้วย ในขณะที่ประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างกระทรวงพลังงาน ที่ยึดแนวทางตามยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน หรือ Energy Trilemma คือ ความมั่นคงทางพลังงาน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (ราคาที่เหมาะสม) และการสร้างความยั่งยืน (พลังงานคาร์บอนต่ำ) พร้อมผลักดันสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ยังจำเป็นที่จะต้องสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากขึ้น เพื่อผลักดันเป้าหมายที่ท้าทายนั้นสู่ความสำเร็จต่อไป

Advertisment