ส่องอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของไทย ในวันที่นักลงทุนต่างชาติถอยทัพ

259
- Advertisment-

ใครหลายคนอาจจะมีภาพจำในอดีตว่า ประเทศไทยนั้นมีแหล่งผลิตปิโตรเลียมขนาดใหญ่อยู่ในอ่าวไทย ที่มีบริษัทน้ำมันต่างชาติเป็นผู้ได้สิทธิสัมปทานและเป็นผู้ดำเนินการในแหล่งผลิต เพราะคนไทยหรือบริษัทคนไทย ไม่ได้เก่งหรือเชี่ยวชาญในเรื่องงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียม แต่ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน น่าจะลบล้างภาพจำในอดีตนั้นไปได้เกือบทั้งหมด โดย คนไทยกลายเป็นคนที่มีทักษะทางด้านแรงงานและทักษะในการบริหารจัดการองค์กร และเป็นคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม แม้ว่าแหล่งผลิตปิโตรเลียมขนาดใหญ่ที่อยู่ในอ่าวไทย เริ่มมีปริมาณสำรองที่ลดลงเรื่อยๆ บริษัทต่างชาติรายใหญ่ที่เคยเป็นเจ้าของสัมปทานในแหล่งต่างๆ หลายรายได้ทยอยขายสิทธิสัมปทานและถอนการลงทุนออกไปจากประเทศไทยนานพอสมควรแล้ว แหล่งปิโตรเลียมที่เหลือมีขนาดเล็ก ไม่จูงใจการลงทุน สิทธิสัมปทานดังกล่าวจึงเปลี่ยนมือมาอยู่กับบริษัทคนไทย 

โดยในกรณีของ เชฟรอน ที่เคยเป็นผู้เล่นรายใหญ่อันดับหนึ่งในอ่าวไทยนั้น จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2562 ที่มีการประกาศผลการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/61 (กลุ่มแหล่งเอราวัณ) ซึ่งเป็นแปลงที่สิ้นสุดอายุสัมปทานในเดือนเมษายน 2565  และเชฟรอน ถือสิทธิอยู่เดิมแต่ด้วยเหตุที่ยังมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมเหลืออยู่ รัฐจึงใช้วิธีการเปิดประมูลเพื่อคัดเลือกผู้มาดำเนินการภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต โดยเมื่อ เชฟรอน แพ้ประมูลต่อคู่แข่ง คือ ปตท.สผ. และไม่ได้ดำเนินการต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีการปรับลดขนาดการลงทุนด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยลง รวมทั้งมีการปรับโครงสร้างองค์กร ให้เป็น Lean organization เพื่อให้สามารถรักษาระดับการลงทุนในแปลงสัมปทานที่ยังเหลืออยู่ในอ่าวไทย คือในแหล่งไพลิน (B12/27) และเบญจมาศ (B8/32) ซึ่งมีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติรวมประมาณ 482 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คอนเดนเสท 16,559 บาร์เรลต่อวัน และ น้ำมันดิบอีก 7,499 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2565) หรือคิดเป็นประมาณ 30 % ของปริมาณ ที่เคยผลิตได้ และน้อยกว่า 20%ของกำลังการผลิตในประเทศ

ทั้งนี้ภาพรวมของการผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย ณ ปัจจุบันนั้น การผลิตก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยอยู่ที่ 2,649 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คอนเดนเสท 80,766 บาร์เรลต่อวัน และน้ำมันดิบ 82,503 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ณ เดือนพฤษภาคม 2568) โดยผู้เล่นหลักที่มีบทบาทนำอันดับหนึ่งในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย ปัจจุบัน คือ ปตท.สผ. ซึ่งผลิตก๊าซธรรมชาติได้ 80% ของกำลังการผลิตในประเทศ และเป็นผู้ดำเนินการในแหล่ง G1/61 แทน เชฟรอน และยังสามารถรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติให้เป็นไปตามสัญญากับรัฐ ที่ระดับปริมาณการผลิตไม่น้อยกว่า 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน 

- Advertisment -

ลองไล่เรียงรายชื่อบริษัทผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทย ทั้งบนบกและในอ่าวไทย ตามรายงานของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาตินั้น ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 20 กลุ่ม ประกอบด้วย  ปตท.สผ., เชฟรอน, มิตซุยออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น, อพิโก, เชลล์ ไทยแลนด์, เอ็กซอน โมบิล เอ็กซโพลเรชั่น, แวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่, นอร์ธเทิร์น กัลฟ์ ปิโตรเลียม, ออเร้นจ์ เอ็นเนอร์ยี่, อีโค่ โอเรียนท์ เอ็นเนอยี่, แพน โอเรียนท์ เอ็นเนอยี่, บุษราคัม, เอ็มพี จี 6, พลังโสภณ, เมดโค เอนเนอร์จี ไทยแลนด์, ซีเอ็นพีซีเอชเค (ไทยแลนด์), โททาลเอนเนอร์ยี่ส์ อีพี ไทยแลนด์,  อาเวเนียร์ เอ็นเนอร์จี (ประเทศไทย), Idenmitsu Kosan และ ยูเอซี ยูทิลิตี้ โดยถึงแม้จะยังมีผู้เล่นเหลืออยู่จำนวนมากรายในอุตสาหกรรมนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีขนาดการลงทุนแต่ละปีไม่สูงมาก 

โดยการเปิดให้เอกชนยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบก ครั้งที่ 25 ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่มีผู้สนใจยื่นขอสิทธิฯ จำนวน 8 คำขอ จาก 5 บริษัท ยังมี ปตท.สผ. เป็นผู้นำในการยื่นขอสิทธิมากที่สุดจำนวน 3 คำขอ ที่เหลือคือ แพน โอเรียนท์ เอ็นเนอยี่ (สยาม) ลิมิเต็ด และ บริษัท CanAsia Energy Corp. จำนวน 1 คำขอ, จีโอเมคคานิคอล เซอร์วิสเซส จำกัด จำนวน 1 คำขอ, อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 1 คำขอ และ ยูเอซี ยูทิลิตีส์ จำกัด จำนวน 2 คำขอ ซึ่งคาดว่าจะได้ชื่อผู้ชนะภายในเดือนธันวาคม 2568  ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐที่จะชี้ให้นักลงทุนเห็นว่า ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการสำรวจพบปิโตรเลียม 

อย่างไรก็ตามคนในแวดวงพลังงานทั้งที่อยู่ในภาครัฐและเอกชนมองไปในทิศทางเดียวกันว่า อุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของไทยจะกลับมาเฟื่องฟูได้ใหม่อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงให้มีการเปิดการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (OCA) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่เชื่อว่ามีศักยภาพสูงด้านปิโตรเลียมเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ที่มีการสู้รบกันบริเวณชายแดนจนทั้งสองประเทศถึงขั้นลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตอยู่ในขณะนี้ การเจรจาเรื่อง OCA ให้ได้ข้อยุติ ดูเหมือนจะไกลจากความจริงออกไปอีก  

ส่องอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของไทย ระหว่างทางจากนี้ไป จึงต้องลุ้นว่ารัฐจะมีนโยบายหรือมาตรการอื่นใดที่จะจูงใจให้ผู้รับสัมปทานที่ยังทำธุรกิจอยู่ให้ยังคงลงทุนต่อไปเรื่อยๆ และดึงดูดการลงทุนเพิ่มเท่าที่ศักยภาพด้านปิโตรเลียมในประเทศยังมีอยู่

Advertisment