สนพ.เผยการใช้พลังงานขั้นต้นทั้งปี64 จะเพิ่มขึ้นแค่ร้อยละ 0.2 จากผลกระทบโควิด

- Advertisment-

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คาดการณ์การใช้พลังงานขั้นต้นตลอดทั้งปี 64 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.2 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการใช้พลังงานตลอดทั้งปี 2564 ซึ่ง สนพ. ได้มีการพยากรณ์โดยอ้างอิงสมมุติฐานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวร้อยละ 1.2 เนื่องจาก (1) การขยายตัวจากการส่งออกสินค้า (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่าย การลงทุน และมาตรการทางเศรษฐกิจสำคัญของภาครัฐ และ (3) ฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติของปี 2563, ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2564 คาดว่าจะอยู่ที่ 70.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยในปี 2564 อยู่ที่ 31.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

สนพ. คาดการณ์ว่าการใช้พลังงานขั้นต้นทั้งปีจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.2 ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงต้นปี และการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

- Advertisment -

โดยปี 2564 การใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน/ลิกไนต์ คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 และ 8.1 ตามลำดับ ส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 ขณะที่การใช้น้ำมัน คาดว่าจะลดลงร้อยละ 7.8 อันเป็นผลจากการยกระดับมาตรการล็อกดาวน์และการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดในเดือนกรกฎาคม 2564 การใช้ LPG ในภาคครัวเรือน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ภาคอุตสาหกรรมและการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 และ 24.2 ตามลำดับ ขณะที่ภาคขนส่งคาดว่าจะมีการใช้ลดลงร้อยละ 18.7 ส่วนก๊าซธรรมชาติ คาดว่าการใช้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 และการใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับปี 2563 จากการฟื้นตัวของการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม สนพ. ยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อการใช้พลังงานของประเทศอย่างใกล้ชิด อาทิ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก มาตรการในการป้องกัน โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับสถานการณ์พลังงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 พบว่า การใช้พลังงานขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.01 จากการใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน/ลิกไนต์ ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า เพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจในช่วงต้นปี ในขณะที่การใช้น้ำมันลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่งภาครัฐมีการประกาศใช้มาตรการต่างๆ อาทิ การทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) การจำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด และการประกาศเคอร์ฟิว
เป็นต้น สำหรับสถานการณ์พลังงานตามประเภทเชื้อเพลิงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 สรุปได้ดังนี้

การใช้น้ำมันสำเร็จรูป ลดลงร้อยละ 8.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดระลอก 3 ในเดือนเมษายน 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนกันยายน โดยการใช้น้ำมันดีเซลลดลงร้อยละ 6.5 การใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลล์ ลดลงร้อยละ 9.2 และการใช้น้ำมันเครื่องบิน ลดลงร้อยละ 44.9 ขณะที่การใช้น้ำมันเตา เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ในภาคขนส่ง
การใช้ LPG โพรเพน และบิวเทน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 โดยการใช้เพิ่มขึ้นจากฐานการใช้ที่ต่ำมากกว่าปกติในปี 2563 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม ที่มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 ตามการขยายตัวของการส่งออก และภาคครัวเรือน มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ขณะที่ภาคขนส่ง มีการใช้ลดลงร้อยละ 16.9 จากข้อจำกัดในการเดินทางในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และการใช้เอง มีการใช้ลดลงร้อยละ 36.8


การใช้ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจยกเว้นการใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ทั้งนี้การใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มฟื้นตัว การใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและการใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 และร้อยละ 1.6 ตามลำดับ ตามการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ขณะที่การใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ลดลงร้อยละ 19.7 จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เป็นข้อจำกัดทำให้การใช้ NGV ในการเดินทางลดลง


ด้านการใช้ไฟฟ้า ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้า (System Peak) ของปี 2564 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 เวลา 14.49 น. อยู่ที่ระดับ 31,023 MW เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการใช้ไฟฟ้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 143,663 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ซึ่งการใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ร้อยละ 45 อยู่ในสาขาอุตสาหกรรม ที่การใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้การผลิตสินค้าเพื่อส่งออกขยายตัวได้ดี ส่วนการใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ส่งผลให้ยังคงมีมาตรการ Work From Home และการจำกัดการเดินทาง ขณะที่การใช้ไฟฟ้าในสาขาธุรกิจลดลงร้อยละ 7.0 จากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน อาทิ ธุรกิจโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และภัตตาคาร เป็นต้น

Advertisment

- Advertisment -.