รัฐจับมือค่ายรถยนต์ บริษัทน้ำมัน หนุนใช้ดีเซลB10แทน B7 หวังทะลุเป้า57ล้านลิตรต่อวัน

- Advertisment-

​กระทรวงพลังงานจับมือค่ายรถยนต์ โรงกลั่น ผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 ผู้ผลิตไบโอดีเซล และตัวแทนชาวสวนปาล์ม สร้างความเชื่อมั่นน้ำมันดีเซลB10 ที่จะประกาศเป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศวันที่ 1 มกราคม 2563 นี้  เป็นต้นไป ตั้งเป้ายอดใช้สูงถึง57ล้านลิตรต่อวัน หวังช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ได้ประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของประเทศปัจจุบันหรือประมาณ 2.2 ล้านตัน/ปี  และลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้ประมาณ 1.8 ล้านลิตร/วัน ในขณะที่เตรียมความพร้อมส่งเสริมการให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นเกรดพื้นฐานกลุ่มเบนซิน เป็นเป้าต่อไป

​วันนี้ (28 ต.ค.62) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 โดยมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทย รวมทั้งสมาพันธ์สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันถึงความพร้อมของทุกฝ่ายในการสนับสนุนการใช้น้ำมันดีเซล B10 เป็นดีเซลฐานแทน B7 เดิม โดยมีการกำหนดให้ B10 เป็นดีเซลฐานสำหรับรถดีเซลทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563   และให้ B7 เป็นดีเซลทางเลือกสำหรับรถรุ่นเก่าและรถยุโรป และB20 เป็นดีเซลทางเลือกสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีการจำหน่ายในปั๊มน้ำมันบางแห่งเท่านั้น  ในขณะที่ B10 จะมีจำหน่ายในทุกสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563

สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานตั้งเป้าหมายการใช้B10 อยู่ที่ 57 ล้านลิตรต่อวันหากมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะทำให้ยอดการใช้น้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 2.2 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 2ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของประเทศ โดยเป็นการช่วยสร้างเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันทำให้ราคาสูงขึ้น รวมทั้งยังช่วยลดปริมาณฝุ่นพิษ PM 2.5 อีกทั้งยังประหยัดการนำเข้าน้ำมันได้ถึงประมาณ 1.8 ล้านลิตร/วัน

- Advertisment -

สำหรับข้อกังวลที่มีต่อเครื่องยนต์ในบางรุ่นนั้นทางค่ายรถยนต์ที่ได้เข้ามาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ อาทิ โตโยต้า อีซูซุ นิสสัน ฟอร์ด เอ็มจี  เชฟโรเล็ต ต่างยืนยันว่าสามารถใช้B10ได้โดยไม่มีปัญหา ส่วนรถรุ่นเก่า และรถค่ายยุโรปก็ยังมีน้ำมันทางเลือก B7 ไว้รองรับ โดยกระทรวงพลังงานจะกำกับดูแล ตรวจสอบคุณภาพน้ำมันตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการจำหน่ายที่สถานีบริการน้ำมัน

น้ำมัน B10 จะมีราคาถูกกว่า B7 ถึงลิตรละ 2 บาท เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกิดการใช้ โดยปัจจุบัน จำนวนรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซลของไทยมีประมาณ 10.5 ล้านคัน (ก.ค.62) เป็นรถที่ใช้  B10 ได้ประมาณ 5.3 ล้านคันหรือประมาณ 50% ที่เหลือเป็นรถดีเซลรุ่นเก่ามากๆ และรถยุโรปราคาแพง ซึ่งก็มีทางเลือกในการใช้ B7 ได้

สำหรับความคืบหน้าในการวางมาตรการป้องกันการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ(CPO)สำหรับมาผลิตน้ำมันไบโอดีเซลนั้น เบื้องต้นจะมีอีก 2 แนวทางที่จะพิจารณานำมาใช้ นอกเหนือจากมาตรการเติมสารปรุงแต่ง(Marker)ลงในน้ำมันปาล์มดิบเพื่อให้น้ำมันB10 มีคุณลักษณะพิเศษที่มีเฉพาะในไทย ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่สามารถควบคุมการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบได้เช่นกัน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้

นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (เสื้อขาว)

ด้านนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ในการติดสติ๊กเกอร์ B10 ให้กับรถยนต์ที่พร้อมเติมB10 นั้น ทางผู้ค้าน้ำมันแต่ละค่ายจะเป็นผู้จัดทำสติ๊กเกอร์ออกมา แล้วนำไปติดที่บริเวณด้านในฝาเติมน้ำมันของตัวรถ เพื่อแสดงให้ประชาชนมั่นใจว่ารถยนต์ใหม่นั้นสามารถที่จะเติมB10 ได้ ส่วนรถยนต์เก่าได้ขอความร่วมมือค่ายรถและอู่รถยนต์เป็นผู้ติดสติ๊กเกอร์ให้สำหรับรถที่มีความพร้อมใช้ หรือ ที่มีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์บางอย่างแล้ว เพื่อการันตีว่ารถยนต์สามารถเติมB10 ได้ เช่นกัน

นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้ กรมธุรกิจพลังงานคาดว่าจะเชิญผู้ค้าน้ำมันและกลุ่มโรงกลั่นฯเข้ามาหารือถึงความพร้อมในการส่งเสริมการใช้เอทานอล ตามแนวทางส่งเสริมการให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 (น้ำมันเบนซินที่ผสมเอทานอล 20%ทุกลิตร)เป็นน้ำมันเกรดพื้นฐานกลุ่มเบนซินต่อไป คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้ เพื่อสรุปแผนที่ชัดเจนเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาต่อไป โดยปัจจุบัน มียอดการใช้ E20 รวมทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 8-9 ล้านลิตรต่อวัน

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR (เสื้อขาว)

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ทางOR มีสถานีบริการB10 ตั้งแต่เดือนพ.ค. 2562ที่ผ่านมาแล้ว  60 แห่ง รวมทั้งมีความพร้อมด้านคลังน้ำมันหลักB100 จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ คลังน้ำมันสุราษฎร์ธานี ,คลังสงขลา ,คลังลำลูกกา ,คลังน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และคลังน้ำมันพระโขนง โดยแผนการจำหน่ายน้ำมันB10 ของ OR นั้นตั้งเป้าภายในวันที่ 1 ม.ค.2563 จะมีสถานีบริการน้ำมันB10 ทุกจังหวัด และภายในเดือนมี.ค.2563 จะมีครบในสถานีบริการทั้ง 1,800 แห่ง

ปัจจุบันกลุ่ม ปตท. มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้ำมันอยู่ที่ 40% ของยอดขายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ปตท.ยังคงจำหน่ายน้ำมันดีเซลB7 เพื่อเป็นทางเลือก โดยจะเลือกจำหน่ายในบางพื้นที่ที่ยังมีความต้องการเท่านั้น ส่วนจะเหลือหัวจ่าย B7กี่ปั๊มต้องดูตามความต้องการของผู้บริโภคก่อน

“ปตท.ยังคงหลักการลดความหลากหลายชนิดน้ำมันลง เนื่องจากเป็นต้นทุน ขณะที่ต่างประเทศมีชนิดน้ำมันเพียง 2-3 ชนิดแต่ไทยมีถึง 9 ชนิด ก็เป็นต้นทุนสำหรับผู้ค้า”  นายอรรถพลกล่าว

Advertisment

- Advertisment -.