ผู้นำฝ่ายค้านชี้รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำมันแพงผิดหลัก “ผลักภาระให้คนจนอุ้มคนรวย”

- Advertisment-

ผู้นำฝ่ายค้านชี้รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำมันแพงผิดหลัก “ผลักภาระให้คนจนอุ้มคนรวย” โดยข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เบนซิน ซึ่งเป็นกลุ่มคนจนและคนชั้นกลางตามที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอภิปรายมีจำนวนมากถึง 21 ล้านคันในขณะที่กลุ่มรถยนต์นั่งที่ใช้ดีเซลซึ่งรวมกลุ่มรถหรู ซูเปอร์คาร์ ที่มองเป็นคนรวย มี 3.2 ล้านคัน

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.จังหวัดน่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งนำเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เมื่อวันที่ 17 ก.พ.2565 ได้อภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยสรุปว่า กลไกที่รัฐบาลใช้จัดการแก้ปัญหา ด้วยการลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 3 บาทต่อลิตรนั้น เป็นการใช้สมมติฐานและวิธีคิดที่ผิดพลาด เป็นการผลักภาระไปให้คนจนคนชั้นกลางที่ขับขี่มอเตอร์ไชค์​ที่มีจำนวน 21 ล้านคัน เอาคนจนไปอุ้มคนรวย เพราะในกลุ่มคนใช้ดีเซลนั้นมีคนใช้รถหรู ซูเปอร์คาร์รวมอยู่ด้วย

“ด้วยวิธีคิดที่ผิดด้วยสมมติฐานที่ผิดมันเป็นการทำลายพี่น้องประชาชน ผมยกตัวอย่างง่ายๆเรื่องน้ำมัน ขณะนี้คนใช้เบนซินเป็นคนจน คนชั้นกลางขี่มอเตอร์ไซค์ 21 ล้านคัน เครื่องจักรกลการเกษตร​ก็ใช้เบนซิน แน่นอนว่ารถบรรทุกภาคการขนส่งใช้ดีเซลแต่ท่านประธานทราบไหมครับว่าซูเปอร์​คาร์ รถหรูต่างๆก็ใช้ดีเซล จริงอยู่ว่าสัดส่วนการใช้นั้นหนึ่งต่อสอง เบนซินประมาณ 30 ล้านลิตรต่อวัน ดีเซล 63 ล้านลิตรต่อวัน แต่เมื่อไปดูแลดีเซล แล้วเพิ่มราคาเบนซิน มันก็เป็นการผลักภาระไปให้คนจน เป็นการเอาคนจนไปอุ้มคนรวย เรื่องนี้ท่านต้องตอบให้ดี ถ้าตอบไม่ดีมันจะส่งผลไปถึงเดือนพฤษภา​คม มาตรา151 อภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างแน่นอน เพราะเรื่องนี้คนเดือดร้อนกันมาก “นายแพทย์ชลน่าน กล่าวอภิปราย

- Advertisment -

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าว​พลังงาน​( Energy​ News​ Center-ENC )​ รายงานโดยอ้างถึงข้อมูลจากเว็บไซต์​กรมการขนส่งทางบก แสดงสถิติปี 2564 ให้เห็นถึงกลุ่มผู้ใช้รถที่ใช้เบนซินมีทั้งสิ้น 28.9ล้านคัน โดยส่วนใหญ่เป็นรถมอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคล ที่ได้รับผลกระทบจากราคาเบนซินแพงจำนวน 21.7ล้านคัน รองลงมาคือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน7ที่นั่ง หรือที่เรียกว่ารถบ้าน 6.7ล้านคัน และกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง 1.56 แสนคัน

ส่วนกลุ่มผู้ใช้รถดีเซลมีจำนวนทั้งสิ้น 12 ล้านคัน โดยกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่นั่งเกิน 7 คน ตามที่นายแพทย์ชลน่าน ชี้ให้เห็นว่ามีกลุ่มรถหรู ซูเปอร์คาร์รวมอยู่ด้วย จำนวน 3.2 ล้านคัน ที่นั่งเกิน 7 คนจำนวน 3.76 แสนคัน ส่วนรถบรรทุกส่วนบุคคล มีทั้งสิ้น 6.6 ล้านคัน รถแทรกเตอร์ 6 แสนคัน รถใช้ในงานเกษตรกรรม 1 แสนคัน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังจากที่ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ก.พ.2565 อนุมัติให้ลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลชั่วคราวไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2565 มีผลทำให้ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล จากเดิมที่จัดเก็บ 5.99 บาทต่อลิตร ปรับลดลงเป็น 3.20 บาทต่อลิตร หรือลดลง 2.79 บาทต่อลิตร โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนาย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้มีมติลดภาระค่าน้ำมันดีเซลให้กับประชาชนทันที 2 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะลดลงมาจาก 29.94 บาทต่อลิตร เหลือ 27.94 บาทต่อลิตร และอีกส่วนหนึ่งจะนำมาเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้สามารถดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน
30 บาทต่อลิตร ได้ต่อเนื่องนานยิ่งขึ้น

สำหรับสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2565 มีรายจ่ายเดือนละ 8,191 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายน้ำมันเดือนละ 6,117 ล้านบาท และรายจ่ายก๊าซ LPG เดือนละ 2,075 ล้านบาท โดยประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ติดลบ 18,151 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน 7,610 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 25,761 ล้านบาท

*เครดิตภาพประกอบข่าวจากทีวีรัฐสภา

Advertisment