ปตท.แจงผู้ถือหุ้น ทิศทางเศรษฐกิจปี 2566 เอื้อธุรกิจกลุ่ม ปตท.เติบโตต่อเนื่อง

- Advertisment-

ปตท. ชี้แนวโน้มธุรกิจบริษัทฯ ปี 2566 ยังเติบโต เหตุเศรษฐกิจฟื้นตัว การท่องเที่ยวคึกคักหนุนธุรกิจ OR คาดราคาน้ำมันดิบยังอยู่ระดับสูง ส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของ ปตท.สผ. ขณะที่ราคาก๊าซฯ ลดลง ส่งผลดีต่อธุรกิจไฟฟ้า ส่วนกำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่  91,175 ล้านบาท พร้อมแจงผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 2565 ในวันที่ 28 เม.ย. 2566 นี้ อัตราหุ้นละ 0.70 บาท พร้อมระบุเหตุผลนำเงิน 3,000 ล้านบาท อุดหนุนกองทุนน้ำมันฯ  เพื่อดูแลประชาชน เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าของ ปตท.

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจําปี 2566 เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2566  ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์(e-Meeting) ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ ปตท.ในปี 2566 คาดว่า จะเติบโตขึ้นจากปี 2565  โดยหากพิจารณาตามรายธุรกิจพบว่า ธุรกิจสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม ของ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) จะมีผลการดำเนินงานสะท้อนตามทิศทางราคาน้ำมัน

โดยในปี 2566 นี้ ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง จากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่สิ้นสุดลง และเมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มโอเปคพลัส ได้ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงทำให้ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้ง ปตท.สผ.มีแนวโน้มที่จะเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติได้มากขึ้น หลังจากสามารถเข้าพื้นที่แหล่งเอราวัณ(G1) ได้ ทำให้คาดว่ากลางปี 2566 นี้ จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 200  ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และสิ้นปี 2566 นี้ จะเพิ่มเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

- Advertisment -

ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ก็มีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากปี 2565 ที่ผ่านมา ราคาก๊าซฯในตลาดโลกปรับสูงขึ้น ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)ในราคาแพงเข้ามาเฉลี่ยกับก๊าซฯที่ผลิตได้ในประเทศส่งผลให้ราคา Pool GSA มีต้นทุนสูงขึ้น แต่ปี 2566 นี้ คาดว่ากำลังการผลิตก๊าซฯในประเทศจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคา LNG ถูกลงจากปี 2565  ฉะนั้นจะส่งผลให้ราคา Pool GSA ลดลงได้

ด้านธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่า ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด) จะใกล้เคียงกับปี 2565  ขณะเดียวกันมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานในกลุ่ม ปตท.พร้อมกันหลายแห่ง แต่ปี 2566 นี้จะเดินเครื่องการผลิตได้มากขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น

สำหรับธุรกิจโรงกลั่น คาดว่า ค่าการกลั่นปี 2566 นี้จะอ่อนตัวลงจากปี 2565 แต่คาดว่าในส่วนของต้นทุนจะถูกลง เนื่องจากปี2565 การสั่งซื้อน้ำมันจะมีค่าพรีเมี่ยมที่แพงขึ้น แต่ปี 2566 นี้ค่าพรีเมี่ยมมีแนวโน้มปรับลดลง ขณะที่ปริมาณการผลิตก็เพิ่มขึ้น

ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก ของ OR คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากปี 2565 ตามทิศทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และธุรกิจไฟฟ้า ก็มีแนวโน้มดีขึ้น จากต้นทุนราคา Pool GSA ที่ปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 ปตท.ได้ปรับนโยบายการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ด้วยการทำประกันความเสี่ยงด้านราคา (เฮดจิ้น) โดยจะดำเนินการให้ระมัดระวัง และติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และลดการทำเฮดจิ้นในลักษณะระยะยาวเกินไป พร้อมจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อมาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงรุนแรงจากการทำเฮดจิ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว ปตท.มีนโยบายบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ด้วยการทำเฮดจิ้นในสัดส่วนไม่เกิน 50% ของปริมาณทั้งหมด

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้อนุมัติจัดสรรเงินกําไรสุทธิประจําปี 2565 และการจ่ายเงินปันผล โดยจากผลประกอบการและฐานะการเงินโดยรวม ปตท. มีกําไรสุทธิประจําปี 2565 จํานวน 91,175 ล้านบาท โดยได้จัดสรรกําไรสุทธิเป็นสํารองเพื่อกองทุนประกันวินาศภัย จํานวน 21 ล้านบาท และ ปตท. พิจารณาเสนอจ่ายเงินปันผลสําหรับผลประกอบการปี 2565 ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 2.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 63% ของกําไรสุทธิ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลของ ปตท.ที่ไม่ตํ่ากว่า 25% ของกําไรสุทธิหลังจากหักสํารองต่าง ๆ โดยคณะกรรมการ ปตท. ได้มีมติกําหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 3 มีนาคม 2566 และกําหนดจ่ายเงินปันผลสําหรับผลประกอบการครึ่งหลังของ ปี 2565 ในวันที่ 28 เมษายน 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท

อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานของ ปตท. และบริษัทย่อยที่มีกำไรสุทธิในปี 2565 จำนวน 91,175 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 3.6%) ลดลงจำนวน 17,188 ล้านบาท หรือ 15.9% จากปี 2564  แม้ว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน กลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้เข้ารัฐรวมจำนวน 86,395 ล้านบาท ซึ่งรวม เงินปันผล ภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทในกลุ่ม

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติม ถึงกรณีที่ผู้ถือหุ้นฯ สอบถามถึงการนำเงิน 3,000 ล้านบาท ไปอุดหนุนกองทุนน้ำมันฯ และ นำเงินอีก 6,000 ล้านบาท ไปอุดหนุนอัตราค่าไฟฟ้าว่า ปตท.มีสถานะเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ฉะนั้นในทางธุรกิจ ก็ต้องมุ่งมั่นมีผลประกอบการที่ดี ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลผู้มีส่วนได้เสีย ควบคู่กับการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน ซึ่งในปี 2565 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าเกิดวิกฤตราคาพลังงานรุนแรงจนส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ปตท.จึงได้จัดสรรงบประมาณผ่านกองทุนน้ำมันฯ เป็นวงเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อดูแลประชาชน เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าของ ปตท. ขณะเดียวกัน ปตท.ได้อุดหนุนงบประมาณในอัตราที่เหมาะสม และอยู่ภายใต้กฎกติกาอย่างเคร่งครัด

ส่วนกรณีค่าไฟฟ้า แม้ว่าจะมีมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่ขอให้ ปตท.บริจาคเงิน 6,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือค่าไฟฟ้า แต่ ปตท.ได้หารือกับภาครัฐ โดยใช้วิธีการนำส่วนต่างก๊าซฯ ในส่วนที่เรียกว่า  Bypass Gas คือ ปริมาณก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย รวมถึงก๊าซฯจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) ที่ขนส่งผ่านระบบท่อก๊าซฯในทะเลมายังระบบขนส่งก๊าซฯบนบกที่ระยอง โดยไม่ผ่านกระบวนการแยกก๊าซของโรงแยกก๊าซฯที่ จ.ระยอง มาใช้ป้อนผลิตไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อลดการนำเข้า LNG ทำให้ในส่วนนี้ ปตท.ไม่ได้จ่ายเป็นเม็ดเงิน 6,000 ล้านบาท ให้กับภาครัฐแต่อย่างใด

Advertisment

- Advertisment -.