- Advertisment-

ทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยรายสัปดาห์ของสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-18 มี.ค. 65) ปรับตัวลดลง จากกระแสข่าวการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซียมีความคืบหน้า โดยประธานาธิบดีรัสเซีย นาย Vladimir Putin แถลงว่าจะปรึกษาหารือในประเด็นสถานะเป็นกลางของยูเครน ประกอบกับรัฐบาลจีนประกาศยกระดับการควบคุมการสัญจร (Lockdown) อย่างเข้มงวดในหลายมณฑล เพื่อป้องกัน COVID-19 แพร่ระบาดระลอกใหม่ กระทบต่อประชากรกว่า 50 ล้านคน อาจจะกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความต้องการใช้น้ำมัน ให้จับตาการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ (Joint Comprehensive Plan of Action: JCPOA) ระหว่างอิหร่านและมหาอำนาจ 6 ชาติ (หรือ P5+1 ได้แก่ สหรัฐฯ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, จีน, และเยอรมนี) ที่มีแนวโน้มจะบรรลุข้อตกลง หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย นาย Sergei Lavrov แถลงว่าได้รับหนังสือยืนยันว่ามาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียปัจจุบันจะไม่กระทบต่อความร่วมมือด้านการค้าและการทหารระหว่างรัสเซียกับอิหร่าน ตามที่เรียกร้อง

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก

  • OPEC คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 4.15 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อน อยู่ที่ 100.90 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มจากคาดการณ์ครั้งก่อน 100,000 บาร์เรลต่อวัน) และคาดว่าโลกต้องการใช้น้ำมันจากกลุ่ม OPEC (Call-on-OPEC) ในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 100,000 บาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 29 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

- Advertisment -
  • กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ได้ดำเนินการขายน้ำมันดิบจากคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ปริมาณรวม 30 ล้านบาร์เรล ให้แก่ Marathon Petroleum (16.06 ล้านบาร์เรล  ), Chevron Corp. (1.27 ล้านบาร์เรล), Motiva Enterprises (2.55 ล้านบาร์เรล), Phillips 66 (4.2 ล้านบาร์เรล), และ Valero Marketing and Supply (4.75 ล้านบาร์เรล) ทั้งนี้การระบายน้ำมันดิบจาก SPR ปริมาณรวม 60 ล้านบาร์เรล เป็นความร่วมมือระหว่าง IEA กับสมาชิก 31 ประเทศ
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่าโรงกลั่นนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Throughput) ในเดือน ม.ค.- ก.พ. 65 ลดลง 1.1% จากปีก่อน อยู่ที่ 13.98 ล้านบาร์เรลต่อวัน  ต่ำสุดนับตั้งแต่ ธ.ค. 63
  • 16 มี.ค. 65 คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee: FOMC) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 0.25%-0.5% ถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปี

Advertisment