บัญชีน้ำมันเงินไหลเข้าสูงสุดในรอบ 4 ปี รวม 21,947 ล้านบาท ขณะภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ ติดลบ 20,664 ล้านบาท

20
- Advertisment-

บัญชีน้ำมัน ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นบวก 21,947 ล้านบาท สูงสุดครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี นับตั้งแต่ปลายปี 2564 และเคยติดลบสูงสุดถึง -88,788 ล้านบาทในปี 2567 ส่วนภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ ติดลบรวม -20,664 ล้านบาท มาจากชดเชยราคา LPG ถึง 42,611 ล้านบาท แนวโน้มมีโอกาสกองทุนฯ พลิกเป็นบวกในเดือน ธ.ค. 2568 นี้หลังผู้ใช้น้ำมันทุกรายจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ กว่า 6,000 ล้านบาทต่อเดือน   

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานสถานการณ์เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรายสัปดาห์ว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ประกาศสถานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 14 ก.ย. 2568 พบว่าเงินกองทุนฯ ยังคงติดลบ แต่ทยอยติดลบลดลงเหลือ -20,664 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -42,611 ล้านบาท และมาจากบัญชีน้ำมันที่มีรายรับเข้ามารวม 21,947 ล้านบาท

สำหรับบัญชีน้ำมันที่มีรายรับเป็นบวก 21,947 ล้านบาท ถือเป็นรายรับบัญชีน้ำมันที่สูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี นับตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 2564 ทั้งนี้บัญชีน้ำมันเคยติดลบสูงสุดถึง -88,788 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2565 เนื่องจากขณะนั้นกองทุนน้ำมันฯ โดยรวมมีสภาพเงินติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง -132,671 ล้านบาท

- Advertisment -

ทั้งนี้นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2568 เป็นต้นมา บัญชีน้ำมันเริ่มพลิกเป็นบวก โดยครั้งแรกเริ่มต้น +773 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. 2568 โดยมีรายรับเข้ามาจากผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และเป็นบวกต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

โดยปัจจุบันมีเงินไหลเข้ารายวันรวม 212.78 ล้านบาทต่อวัน  (ประมาณ 6,383 ล้านบาทต่อเดือน) ซึ่งมาจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนฯ 185.09 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 5,552 ล้านบาทต่อเดือน) และมาจากโรงแยกก๊าซ 27.69 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 830 ล้านบาทต่อเดือน)

สำหรับผู้ใช้น้ำมันต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามประกาศของ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ล่าสุด (9 ก.ย. 2568) ดังนี้ ผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ถูกเรียกเก็บ 3 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 1.90 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 3.60 บาทต่อลิตร และเบนซินธรรมดา ออกเทน 95 เรียกเก็บ 9.60 บาทต่อลิตร ส่วนผู้ใช้ดีเซล และดีเซล B20 ถูกเรียกเก็บ 1.40 บาทต่อลิตร และผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียม ถูกเรียกเก็บ 2.90 บาทต่อลิตร

อย่างไรก็ตามกองทุนฯ ยังคงมีภาระหนี้สำคัญที่ไปกู้ยืมเงินมาจากสถาบันการเงินฯ ไว้รวม 105,333 ล้านบาท ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันเหลือหนี้อยู่ 52,360 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยจ่ายเงินต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกรอบเวลาที่กู้มาแต่ละครั้ง โดยในเดือน ต.ค. 2568 นี้จะต้องจ่ายหนี้เงินต้นสูงสุดประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะค่อยๆทยอยลดลง และในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 250 ล้านบาทต่อเดือนด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดตามกำหนดในปี 2572

โดยก่อนหน้านี้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเกือบ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน และคาดว่าเงินกองทุนฯ น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2568 แต่เนื่องจากในช่วงเดือน มิ.ย. 2568 เกิดภาวะสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้น จนกองทุนฯ ต้องนำเงินไปพยุงราคาดีเซลอีกครั้ง และทำให้รายรับของกองทุนฯ ลดลง จากเดิมคาดการณ์ว่ากองทุนฯ จะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2568 จึงต้องขยับออกไปเป็นเดือน ธ.ค. 2568 นี้แทน เนื่องจากกองทุนฯ มีรายรับประมาณ 6 พันล้านบาทต่อเดือน ขณะที่เงินกองทุนฯ ปัจจุบันติดลบอยู่ -20,664 ล้านบาท

ขณะที่ราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 15 ก.ย. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 70.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาเพิ่มขึ้น 0.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 62.98 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 67.27 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ด้านค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 15 ก.ย. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 3.92 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.65 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.70 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 4.16 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 2.05 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่างวันที่ 1-15 ก.ย. 2568 อยู่ที่ 2.51 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

Advertisment