คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ลดเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ ลง 50 สตางค์ต่อลิตร เหลือเรียกเก็บอยู่ 40 สตางค์ต่อลิตร หลังราคาน้ำมันโลกขยับขึ้นเล็กน้อย โดยภาพรวมกองทุนฯ ยังติดลบรวม -30,445 ล้านบาท ขณะที่รายรับเหลือ 5 พันล้านบาทต่อเดือน ส่งผลเป้าหมายจะพลิกกองทุนฯ เป็นบวก ต้องขยับออกไปเป็นเดือน ธ.ค. 2568 แทน
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2568 ได้มีมติปรับลดการเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง 50 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมเรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซล และดีเซล B20 อยู่ 90 สตางค์ต่อลิตร ได้ปรับลดเหลือ 40 สตางค์ต่อลิตร ส่วนผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียม เดิมเก็บอยู่ 2.40 บาทต่อลิตร เหลือ 1.90 บาทต่อลิตร หลังราคาน้ำมันโลกขยับขึ้นเล็กน้อย
ส่วนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ยังเรียกเก็บเงินเพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เท่าเดิม โดยผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ถูกเรียกเก็บ 3 บาทต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 1.90 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 3.60 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ส่งผลให้กองทุนฯ มีรายรับรวมอยู่ที่ 173.52 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 5,205 ล้านบาทต่อเดือน) ซึ่งมาจากผู้ใช้น้ำมัน 153.86 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 4,615 ล้านบาทต่อเดือน) และมาจากผู้ค้าก๊าซหุงต้ม (LPG) 19.66 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 589 ล้านบาทต่อเดือน)
โดยภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ ยังคงติดลบอยู่ -30,445 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากบัญชี LPG ติดลบรวมถึง -43,876 ล้านบาท ขณะที่บัญชีน้ำมันมีรายรับเป็นบวกอยู่ 13,431 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเกือบ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แต่ในช่วงเดือน มิ.ย. 2568 เกิดสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้น จนกองทุนฯ ต้องนำเงินไปพยุงราคาดีเซลอีกครั้ง และทำให้รายรับของกองทุนฯ ลดลง จากเดิมคาดการณ์ว่ากองทุนฯ จะกลับมาเป็นบวกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2568 แต่ล่าสุดคาดว่าจะเป็นบวกได้ประมาณเดือน ธ.ค. 2568 นี้ เนื่องจากกองทุนฯ มีรายรับประมาณ 5 พันล้านบาทต่อเดือน ขณะที่เงินกองทุนฯ ปัจจุบันติดลบอยู่กว่า 3 หมื่นล้านบาท
สำหรับหนี้เงินกู้สถาบันการเงินที่กองทุนฯ กู้ไว้รวม 105,333 ล้านบาท ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันเหลือหนี้อยู่ 53,471 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยจ่ายเงินต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกรอบเวลาที่กู้มาแต่ละครั้ง โดยในเดือน ต.ค. 2568 นี้จะต้องจ่ายหนี้เงินต้นสูงสุดประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจึงจะทยอยลดลง และในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 250 ล้านบาทต่อเดือนด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดตามกำหนดในปี 2572
สำหรับราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 23 ก.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 70.17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาลดลง 0.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 65.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.04 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 68.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.06 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ด้านค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 23 ก.ค. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ ค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.19 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.74 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.80 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.75 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 4.48 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 2.07 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-23 ก.ค. 2568 อยู่ที่ 2.31 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)