เมื่อทิศทางพลังงานของประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับก๊าซธรรมชาติ การจะไปสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 จึงต้องมีกลไกในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนเข้ามาเป็นตัวช่วย ซึ่งโครงการที่ถูกหยิบยกมาเป็นโครงการหลักเพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็คือ โครงการพัฒนาการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ บรรจุเรื่องนี้ไว้ในนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงานของรัฐบาล เพื่อให้สามารถเริ่มต้นดำเนินการได้ ภายในอายุของรัฐบาลชุดนี้
ความสำคัญของโครงการ CCS ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานประกาศในหลายเวทีสัมมนาที่เกี่ยวกับเรื่อง Energy Transition นั้น คาดการณ์ว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถลดการปล่อยมลพิษได้ถึง 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี สามารถกระตุ้นการลงทุนได้กว่า 1,000,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานกว่า 29,000 อัตรา
โครงการ CCS มีการศึกษาความเป็นไปได้ โดย ปตท.สผ. ที่จะใช้แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย คือ แหล่งอาทิตย์ ซึ่งผลิตก๊าซธรรมชาติจนหมดแล้ว เป็นหลุมกักเก็บ โดยลำเลียงคาร์บอนที่กักเก็บไว้จากกระบวนการผลิตอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าบนฝั่ง ผ่านระบบท่อส่งทางทะเล มายังหลุมกักเก็บที่เตรียมไว้
อย่างไรก็ตามการลงทุนดังกล่าวจะต้องรอจังหวะต้นทุนราคาการกักเก็บที่เหมาะสม รวมทั้งการแก้ไขกฏระเบียบที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ และมาตรการสนับสนุนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนจากภาครัฐ รวมทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตรต่างประเทศด้วย
ในขณะที่ฝั่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็ได้มีการศึกษา 3 เทคโนโลยีในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้สารละลายเอมีนในการดูดซับ เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับวัสดุนาโนขั้นสูง Metal-Organic Frameworks (MOFs) และเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีไครโอเจนิค (Cryogenic Carbon Capture: CCC) พร้อมทั้งศึกษาการใช้ประโยชน์และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS) ซึ่งจะตอบโจทย์แผน EGAT Carbon Neutrality ที่มีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050
การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานหลักทั้งกลุ่ม ปตท. และ กฟผ. จึงชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของโครงการการกักเก็บคาร์บอน ว่าเป็นปัจจัยที่จะทำให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้หรือไม่และอย่างไร
